[OS] Daydream Blue (Yeonbin)

Title: Daydream blue

Pairing: Choi Yeonjun/Choi Soobin

Genre: Smut, Slightly angst

 

Daydream blue

 

ซูบินรู้ตัวดีว่าเธอไม่ควรคาดหวังอะไรทั้งสิ้นกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

ร็อกแซนน์คือชื่ออันเป็นฝันร้ายของใครหลายคน เธอเป็นอดีตนางแบบดาวรุ่งเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันผันตัวเป็นดีไซเนอร์สร้างแบรนด์และเป็นเจ้าของห้องเสื้อของตนเอง งานอดิเรกคือสะสมเศษหัวใจพังยับและน้ำตาของใครต่อใคร

 

ซูบินรู้ตัวดีว่าเธออาจกลายเป็นหนึ่งในของสะสมเหล่านั้น เธอเป็นแค่นางแบบหน้าใหม่ไม่ประสีประสากับแสงไฟ จะไปสู้อะไรกับนักรักตัวฉกาจได้

ทว่าฝันร้ายของใครหลายคนนั่นกลับเป็นฝันหวานที่สุดของเธอ

มันอาจเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง เส้นใยความสัมพันธ์นี้ถูกถักทอขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน มันจะสูญสลายเป็นควันจาง ให้ระลึกถึงได้แค่ในความทรงจำ หากแต่ติดค้างในห้วงหัวใจจนชั่วชีวิต

 

เธอครางแผ่วยามเมื่อความคดโค้งของริมฝีปากนั้นละไล้บนผิวเนื้อ ก่อเกิดเป็นประกายไฟวาบหวาม ทั้งที่มันเพิ่งมอดดับไปเมื่อครู่ ทิ้งหลักฐานเป็นร่องรอยฉ่ำชื้นที่ซอกหว่างขา ความกระสันซ่านเพิ่มระดับเมื่อปลายนิ้วสัมผัสเข้าที่จุดเดิม

 

“ ค..คุณคะ..

ซูบินอ้าเรียวขาให้แยกห่างมากกว่าเดิม ท่อนแขนกอดเกี่ยวร่างข้างบน รั้งท้ายทอยให้ใบหน้านั้นเข้าใกล้ ใกล้จนใช้ลมหายใจร่วมกัน สายตาสองคู่สบกันในช่วงเสี้ยววินาที ก่อนที่ความใกล้นั้นจะถูกลดระยะลงมา

จนนัยน์ตาเห็นเพียงกลุ่มผมสีฟ้า

จนกลิ่นน้ำหอมจากอีกฝ่ายคละเคล้ากับของตนเอง

จนริมฝีปากแนบชิด

จนปลายลิ้นแตะปลายลิ้น

 

เมื่อปลายนิ้วเร่งขยี้ คล้ายว่าห้วงสติของเธอกลายเป็นเพียงปุยนุ่นที่กำลังถูกฉีกกระชาก ลอยลิ่วตามแรงลมป่วนปั่น ความปรารถนาท้นทะลัก มันแล่นจนถึงจุดยอดสุด ความร้อนรุ่นก็ละลายออกมาเป็นความฉ่ำแฉะที่ซอกหว่างขาอีกครั้งหนึ่ง

 

ซูบินหอบหายใจเมื่ออีกคนผละร่างออกแล้วแตะจุมพิตบนผิวแก้มพร้อมกล่าวคำชม “ เด็กดี ” ความร้อนแผ่ซ่านทั่วทั้งใบหน้า เธอไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะคำชมนั่นหรือเพราะตนเองเพิ่งเสร็จจากกามกิจเมื่อครู่

 

สายตามองตามหญิงสาวที่เพิ่งลุกจากเตียงนอน ร่างกึ่งเปลือยนั่นเหลือเพียงแค่ชั้นในช่วนล่างปกปิดพื้นที่สงวน ซูบินจับจดทุกการกระทำของอีกฝ่าย มองคนอายุมากกว่าที่กำลังมัดรวบกลุ่มผมสีฟ้าอย่างไม่บรรจงนักก่อนจะคว้าเอาเสื้อคลุมอาบน้ำที่พาดบนเก้าอี้มาสวม

 

มันจะกลายเป็นฝันตื่นหนึ่ง..

 

ใบหน้านั้นหันมาหากัน ร็อกแซนน์คลี่ยิ้มหวานหยดให้เธอ ร่องรอยของสีลิปสติกบนเรียวปากนั่นเลือนเลอะจากแรงบดจูบ เห็นแล้วซูบินยิ่งอยากตกเป็นของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ หนูจะเอาน้ำแอปเปิ้ลมั้ยคะ? เดี๋ยวพี่รินให้ค่ะ ”

 

“ เอาค่ะ ขอบคุณนะคะ ”

 

เมื่อไฟอารมณ์ร้อนรุ่มมอดดับลงกลายเป็นผงเถ้าแห่งความอาวรณ์

ซูบินอยากให้เวลาในค่ำคืนยืดยาวออกไป เธอยังไม่อยากให้มันจบลง

 

รู้อยู่แก่ใจว่าขอบเขตของความสัมพันธ์คือพื้นที่ของตัวห้องแห่งนี้เท่านั้น เมื่อใครคนหนึ่งก้าวออกจากบานประตูนั้นแล้ว หรือถ้าหากเวลาของค่ำคืนนี้หมดลง คนที่คาดหวังไปมากเกินกว่านั้นจะเป็นฝ่ายเสียใจ ซูบินยังคงนอนนิ่งบนเตียงนอน นัยน์ตาพริ้มลงครู่หนึ่ง ภาพใบหน้าของจิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์นามร็อกแซนน์ปรากฏขึ้นหลังเปลือกตา

 

แล้วหลังจากนี้จะให้เธอตัดเยื่อใยได้อย่างไร

 

ซูบินลุกขึ้นจากเตียงบ้าง เธอฝืนความเศร้าและความเหนื่อยที่ใกล้จะแปรเป็นอาการง่วง เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาเช็ดความเหนอะหนะที่ซอกหว่างขา ดึงชั้นในที่ถูกถอดร่นอยู่ที่ข้อเท้าขึ้นมาตำแหน่งเดิม ก่อนจะคว้าเอายกทรงกับเสื้อสเวตเตอร์ที่กระจายบนพื้นมาสวม

 

“ นี่ค่ะน้ำแอปเปิ้ล ” ร็อกแซนน์ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้ ก่อนจะขยิบตาเมื่อเห็นใบหน้าเรื่อแดงของซูบิน “ จะยังอายอะไรอีกคะ เมื่อกี้พี่ก็เห็นหนูมาหมดแล้วทั้งตัว ”

  

“ ค..คุณร็อกแซนน์ก็..

 

เธอได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะแผ่วด้วยความเอ็นดู ขณะที่ความร้อนยิ่งจับบนผิวแก้มมากกว่าเดิม ใจดวงน้อยยิ่งเต้นแรง ซูบินรู้ตัวว่าตนเองก้าวพลาดเสียแล้ว เธอกำลังถลาลงหลุมรัก ร่วงไปในเหวลึก

 

มันจะกลายเป็นฝันตื่นหนึ่ง..

 

“ อ..อันที่จริง หนูยังเก็บปฏิทินที่คุณเคยถ่ายไว้นะคะ ”

ซูบินเคยเฝ้าจินตนาการในเรื่องแบบนี้กับอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อตนเองอายุสิบสี่ ตั้งแต่เมื่อเป็นเด็กสาวแรกรุ่นที่ไม่เคยรู้จักเรื่องเพศและความรัก และปฏิทินวาบหวิวฉาวโฉ่เล่มนั้นทำให้เธอค้นพบบางอย่างในตัวตน

 

ขณะที่ร็อกแซนน์ซึ่งกำลังชงชามิ้นต์อยู่นั้นถึงกับชะงักการกระทำ หญิงสาวหันมามองคนอายุน้อยกว่า นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อย “ โห ยังเก็บไว้เหรอคะ สมัยพี่ยังสาวเลยนะ ”

 

ซูบินพยักหน้าตอบรับ จนกระทั่งตอนนี้ที่ผ่านมาแล้วตั้งแปดปี เธอยังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่คนนั้น

 

เป็นกระต่ายโง่ เพ้อฝัน และตกหลุมรัก

และตอนนี้กำลังจะเสียใจ

 

มันจะกลายเป็นฝันตื่นหนึ่ง..

ความหวานจะสูญสลาย เธอจะตื่นขึ้นมาในหลุมรักเพียงลำพัง แขนขาหัก หัวใจแหลกเละ น้ำตานองหน้า

 

            สองมือประคองแก้วน้ำแอปเปิ้ลไว้แน่นขณะที่สายตาจดจำรายละเอียดบนเครื่องหน้าของคนอายุมากกว่าเอาไว้ รสหวานอมเปรี้ยวของมันช่วยให้กล้ำกลืนความขื่นขมของน้ำตาที่ใกล้มาเยือนได้ง่ายขึ้น ซูบินอาจจะขอมากไป แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเธอจะยังพอมีความหวัง เธอก็อยากเห็นคนนี้ในทุกวัน ใช้เวลาร่วมกันไปตลอดชีวิต

 

แต่ถ้าเรียกร้องอะไรออกไป สิ่งที่ได้รับกลับมาอาจเป็นความรำคาญใจ

ซึ่งถ้าถึงจุดนั้นเมื่อใด เธอจะไม่ได้อะไรจากสาวในฝันคนนี้อีกเลย

 

ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าอย่าคาดหวัง อย่าร้องขอ ไม่มีความรักจากผู้หญิงที่ชื่อร็อกแซนน์

นี่เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น..

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

เป็นฟิคที่เขียนแล้วแอบเหนื่อยเลยค่ะ ๕๕๕ ไม่เคยเขียนพรสาวๆแบบถึงขนาดนี้มาก่อน(แม้จะดูน้อย แต่นี่คือมากแล้วสำหรับเราค่ะ ๕๕๕๕)

จริงๆกะว่าจะเขียนให้เป็น smut กามๆแส้บๆ จบที่แองส์จ๋าอีกแน้วค่ะ ๕๕๕ *กราบทุกคน* คิดว่าอาจจะเป็นผลพ่วงจากการเพิ่งดู portrait of a lady on fire จบแน่ๆเลยค่ะ o>—<

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

หวีดได้ในแท็ก #kwlfic ค่ะ จุ๊บๆ

 

[Fiction] One Rainy Night (ก๋วยเตี๋ยว/มิน): Chapter IV – The Heartbreaker

Title: One rainy night

Pairing: ก๋วยเตี๋ยว(เลือดข้นคนจาง)/มิน(โฮมสเตย์)

Genre: Heavy angst, Hurt/Comfort, Fluff

 

Chapter IV – The Heartbreaker

 

แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารที่ก๋วยเตี๋ยววางไว้ใต้หมอนปลุกให้เขาสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มรีบคว้ามันออกมาแล้วกดหยุดการทำงานของมันให้เร็วที่สุด ทั้งที่ปกติแล้วก๋วยเตี๋ยวไม่ตั้งปลุกด้วยระบบสั่นแบบนี้หรอก มันไม่เคยทำให้เขาตื่นได้ เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งให้แสบแก้วหูที่สุดคงดังลั่นห้องไปแล้ว แต่เพราะเขาไม่อยากให้มันรบกวนอีกคนที่กำลังหลับอยู่ข้างกัน

 

มินทำให้เช้าวันธรรมดาของเขากลายเป็นเช้าที่ไม่ธรรมดา

ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดยามเช้าจึงยังไม่ลอดผ่านริ้วของผ้าม่านเข้ามา ความสลัวรางยังอยู่คงเดิมไม่ไปไหน และเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศยังคงครางแผ่ว

แรงสั่นเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้มินรู้สึกตัวเลยสักนิด อีกฝ่ายยังคงขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม ศีรษะโผล่พ้นจากผืนผ้าออกมาเพียงแค่บางส่วน กลุ่มผมกระจายไม่เป็นทรงบนใบหมอน ยากนักที่จะห้ามใจไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัส

 

“ มินครับ ตื่นได้แล้ว ”

 

สิ่งที่อีกคนทำมีเพียงการครางตอบรับในลำคอ กับเขยื้อนตัวเพื่อซุกในผ้านวมมากกว่าเดิมจนศีรษะนั่นแทบจะจมมิดหายไป ก๋วยเตี๋ยวยิ้มด้วยความเอ็นดู ถึงแม้มินจะยอมเปลี่ยนกำแพงในใจเป็นประตูให้เขาแล้ว บุคลิกเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมคือไม่ว่าอย่างไรก็ยังเหมือนแมว

           

“ มิน เช้าแล้วครับ ”

 

“ อือ..

 

“ ตื่นเร็ว เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทันนะครับ ”

 

ก๋วยเตี๋ยวเล็งเห็นว่าถ้ายังคงใช้ไม้อ่อนอยู่แบบนี้อีกฝ่ายคงไม่ตื่นแน่ เขาตัดสินใจกระชากผ้านวมที่มินนอนซุกอยู่ออก

 

“ พี่เตี๋ยว!

เมื่อผ้านวมถูกดึงออกจนเกินกว่าที่สองมือจะคว้ากลับมาไว้ได้ ทำให้มินต้องลุกขึ้นอย่างยอมจำนน เรียวปากยู่ลงเล็กน้อยเนื่องด้วยความไม่พอใจที่ถูกรบกวนการนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

 

ก๋วยเตี๋ยวอยากจะรู้สึกเอ็นดูกับภาพตรงหน้าได้มากกว่านี้ ถ้าเขาไม่เห็นรอยแผลปริแตกที่ริมฝีปากนั่น กับขอบตาแดงช้ำที่เขารู้ว่าสาเหตุมันไม่ได้มาจากแค่การเพิ่งตื่นนอน

.

.

 

มินเคยคิดว่าถ้าหากยังมีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตหลงเหลืออยู่ เขาก็คงไม่ต้องทำแบบนั้น

 

            มันเป็นความรู้สึกผิดแผกแปลกที่ เหมือนตนเองเป็นหยดน้ำมันท่ามกลางมวลน้ำเปล่า คนอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ความเดียวดายกลืนกินหัวใจของเขาจนต้องดิ้นรนหาทางถมเต็มความว่างเปล่าด้วยการค้นหาบ้านที่ตนเองไม่รู้จัก

            ก่อนจะว่าไม่มีที่ใดหรือใครเลยที่สามารถให้ความรู้สึกสมเป็น บ้าน

 

วันนี้แม่ของเขาไประนองตั้งแต่เช้าตรู่ ทิ้งเอาไว้เพียงข้าวต้มกุ้งในหม้อ เวลาที่ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงทำให้มันชืดเย็น มินจุดแก๊สเปิดไฟให้มันพออุ่น ก่อนจะตักแบ่งมาใส่ในถ้วยเล็ก การกระทำเป็นไปอย่างเชื่องช้า เหมือนว่าร่างนี้ไร้ซึ่งจิตวิญญาณไปเสียแล้ว

เรียวมือจับช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มในถ้วย รสชาติยังคงอร่อยสมเป็นฝีมือแม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ทว่าเมื่อตักเข้าปากไปเพียงไม่กี่คำ ความอุ่นร้อนที่กำลังเคลื่อนผ่านลำคอลงไปนั้นทำให้มินนึกถึงอย่างอื่น

ม่านความทรงจำถูกกระชากออก เขากลับไปอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์นั่นอีกครั้ง ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าตรงหน้าหว่างขาของครูพัฒน์ กล้ำกลืนบางอย่างที่ไม่ควร

 

ภาพน่าขยะแขยงแล่นวนเข้ามาก่อตัวเป็นความคลื่นเหียน มินวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ ขย้อนเอามื้อเช้าเล็กน้อยเมื่อครู่นั่นออก ก่อนจะนั่งขดตัวที่พื้นกระเบื้อง เฝ้าตั้งคำถามกับตนเองว่าทำผิดอะไรถึงได้มาพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้

เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน สองมือดึงทึ้งกลุ่มผมจนเจ็บหนังศีรษะ การอาเจียนทำให้แสบไปทั้งลำคอและช่องท้อง หากแต่มินยังคงอยู่ในตัวห้องน้ำตามเดิมไม่ไปไหน อยากขังตัวเองไว้ในนี้ตลอดกาล หลบซ่อนจากเรื่องราวเลวร้ายทั้งปวง

 

มินอยากหายไปจากโลกนี้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครตามหา ไม่มีใครในโลกใยดีกับเขาเลยสักคน

ไม่มีดินผืนใดที่ต้อนรับการร่วงโรยของดาวอ่อนแรงด้วยความรัก มันอยากมืดดับไปตลอดกาลเพราะคงไม่มีใครเห็นคุณค่าในแสงดาวดวงนี้อีกต่อไปแล้ว

 

ถ้าหากตอนนั้นมินจะรู้สักนิดว่ามีดินผืนหนึ่งรอคอยจะโอบกอดเขาอย่างยินดี

ถ้าหากตอนนั้นมินจะรู้สักนิดว่าการไม่รักไม่เหลียวแลจะทำให้ดินผืนนั้นถูกทำลายโดยดอกไม้อย่างเชื่องช้า สีสันยวนตาและกลีบแบบบางของมันดูดกลืนชีวิตและลมหายใจจนเนื้อดินเกือบจะร่วนแหลกเป็นผงทราย

ถ้าตอนนั้นเขารู้.. เขาก็คงไม่ต้องทำแบบนั้น

.

.

 

            ก๋วยเตี๋ยวรู้ว่าน้ำเต้าหู้ร้อนดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับคนที่เพิ่งได้รอยแผลบนริมฝีปากมาเมื่อคืน เขาจึงรินจากถุงทิ้งไว้ให้ขณะรออีกฝ่ายอาบน้ำ เมื่อมินลงมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน สิ่งแรกที่ฝ่ายนั้นทำคือเป่าน้ำเต้าหู้ให้พออุ่น แต่ก็พลันชะงักเมื่อพบว่าอุณหภูมิของมันไม่ได้สูงอย่างที่นึกกลัว

 

มินเลิกคิ้วมองก๋วยเตี๋ยวที่กำลังยื่นจานขนมปังนึ่งสังขยาให้ เขารีบกลืนโจ๊กหมูเด้งของตนเอง

“ พี่รินทิ้งไว้อะ กลัวมันลวกปาก ”

 

ทั้งที่จริงแล้วก๋วยเตี๋ยวเองไม่จำเป็นต้องรีบอธิบายก็ได้ แต่เขาเพียงอยากให้มินได้รู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มี ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขามอบให้ใครต่อใครดาษดื่นก็ตาม

ก๋วยเตี๋ยวไม่กล้าปฏิเสธตัวเองอีกแล้วว่าพื้นที่พิเศษสำหรับมินยังคงอยู่ และถึงจะรู้อยู่ว่าควรรับฟังเสียงจากอีกเสี้ยวหัวใจที่เคยบอบช้ำในอดีตว่าอย่าได้กลับไปรู้สึก แต่เขาทนความเจ็บปวดของมินไม่ได้ มันฉีกทึ้งเสียงทัดทานเหล่านั้นจนขาดยุ่ย

 

“ ขอบคุณนะครับ ” มินยิ้มให้

 

และรอยยิ้มนั้นประทับจูบลงบนแผลเป็นกลางใจ

 

“ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพี่จะไปส่งมินที่บ้านนะ? โอเคมั้ยครับ? ” ความอุ่นวาบแล่นพล่านทั่วผิวแก้มตอนที่เขาพูดประโยคนั้นออกไป ยิ่งได้เห็นมินในชุดของเขาแล้วความคิดก็ยิ่งเตลิด มันเหมือนกับว่าพวกเขาได้ออกเดทกันครั้งแรก ถึงแม้สถานการณ์เมื่อคืนนั้นจะไม่ใกล้เคียงกับคำว่าโรแมนติกเลยก็ตาม

 

“ ครับพี่เตี๋ยว ”

.

.

 

            แสงอรุณยังคงไม่โผล่พ้นเมฆมาต้อนรับวันใหม่เมื่อตอนที่ก๋วยเตี๋ยวขับรถมาส่งมินจนถึงตัวอาคารที่พัก มันมืดครึ้มคล้ายว่ากลุ่มเมฆหมองมัวจะร้องไห้ลงมาเป็นหยาดฝนได้ทุกเมื่อ นั่นทำให้ก๋วยเตี๋ยวต้องขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถด้านใน

            และแล้วสรรพเสียงรอบข้างก็ถูกกลบด้วยเสียงของเม็ดฝนที่ร่วงโปรยลงมาตกกระทบผืนดิน

 

“ โห ทันเวลาพอดีเลยอะ ” มินหัวเราะ ก่อนที่จะได้เอ่ยคำว่าขอบคุณออกไปนั้นเอง เขารอให้เสียงฝนทำหน้าที่ของมันอยู่ครู่หนึ่ง

 

            หลากหลายความรู้สึกตีรวนอยู่ในอกของมิน สายตาจับจดอยู่ที่ใบหน้าของก๋วยเตี๋ยว เขารู้สึกทั้งประหม่าและหวาดหวั่น เขากลัวว่าความกลัวของตนเองเนื่องด้วยเหตุการณ์จากเมื่อคืนนั้นจะพุ่งกระโจนออกมาแล้วทำทุกอย่างเสียเรื่อง ถึงกระนั้นเองมินก็ยังตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งนี้

            มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่ต้นแขนของคนอายุมากกว่า ขณะที่มืออีกข้างเคลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้า สายตายังคงนิ่งค้างอยู่ที่เดิม

 

“ พี่ก๋วยเตี๋ยวครับ ” แม้แต่ตนเองยังรู้สึกได้ว่ากระแสเสียงนั้นสั่นเล็กน้อย

 

คล้ายว่าเสียงฝนโปรยภายนอกนั่นแผ่วซาลงไปเมื่อมินเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ ทาบทับริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกัน สัมผัสนั้นมีเพียงการกดแตะ ไม่ได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น และถูกจำกัดไว้ด้วยระยะเวลาเพียงวินาที

 

ทว่าเท่านั้นก็เพียงพอ

 

            ก๋วยเตี๋ยวยังคงไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นอยู่จริง ชายหนุ่มชะงักนิ่งแม้ว่ามินจะผละออกห่างแล้วก็ตาม สัมผัสนิ่มหยุ่นหนึ่งเดียวนั้นทำให้ระบบประมวลผลในความคิดลัดวงจร “ เอ่อ.. คือ.. ” ใช้เวลาครู่หนึ่งทีเดียวกว่าที่จะเค้นสติและเสียงตัวเองกลับมาได้

 

“ คือพี่.. ขอนะครับ? ”

 

เขาเห็นใบหน้าของมินที่เรื่อแดงพยักตอบรับ มุมปากนั่นพยายามที่จะไม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม และเขาคิดว่าตนเองนั้นก็คงไม่ต่างจากอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก ก๋วยเตี๋ยวเลื่อนฝ่ามือขึ้นวางทับบนมือที่ประคองใบหน้าอยู่นั้น สอดแพนิ้วประสานกันก่อนจะหันไปแตะแนบเรียวปากบนข้อนิ้วและหลังมือ

 

คราวนี้ก๋วยเตี๋ยวเริ่มรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ

เขาอยากทำมากกว่านี้ อยากได้มากกว่านี้

แต่ความยับยั้งชั่งใจกำลังร้องบอกว่ามันยังไม่เหมาะควรในสถานการณ์นี้ และที่สำคัญคืออายุของอีกฝ่ายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย

 

            มินค่อยๆคลายเรียวมือออกให้พ้นจากการเกาะกุม สายตาเลื่อนมองสิ่งอื่นเนื่องด้วยความขลาดเขินที่ยังคงมีอยู่หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ภายในชั่วพริบตาเดียวนั้นเอง มินขยับตัวเข้าไปประทับจูบอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเป็นบนผิวแก้ม ก่อนจะรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกอย่างรวดเร็ว

 

“ ขอบคุณมากครับ ขับรถกลับดีๆนะครับพี่เตี๋ยว ” มินรีบพูด เขาเปิดประตูรถออกไปโดยที่ไม่แม้แต่จะสบตากันด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าก๋วยเตี๋ยวจะเห็นอีกฝ่ายแค่เพียงจากข้างหลัง ทว่าใบหูแดงจัดนั่นก็เป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นก็คงเรื่อด้วยเลือดฝาดไม่ต่างกัน

 

สายฝนยังคงร่วงโปรยอยู่เช่นเดิม หากแต่ในห้วงหัวใจนั้นเปี่ยมด้วยแสงจัดจ้าของพระอาทิตย์

 

ก๋วยเตี๋ยวยังคงติดค้างรอยจูบบนริมฝีปาก

และเขาคิดว่าจะต้องให้คืนในคราวถัดไป

.

.

 

ในเวลาที่ขาดก๋วยเตี๋ยวข้างกาย มินรู้สึกเหมือนตนเองไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว

            สภาพในโรงเรียนยังคงเป็นไปตามเดิม บุคลากรและนักเรียนทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนตามอย่างปกติ ทว่าความวิตกกังวลนั้นฝังตัวอยู่ในซอกหลืบของห้วงหัวใจ เขาอยากทำเมินเฉยเหมือนว่ามันไม่มีอยู่ ตราบใดที่ยังมีโอกาสได้เจอหน้าครูภัทร เขาต้องปกป้องตนเอง ปกป้องเจ้าของร่างนี้ซึ่งคือมินคนเก่า แม้จะไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยก็ตาม

 

“ ไอ้มิน มึงไหวแล้วเหรอ? เมื่อคืนมึงเป็นอะไรวะ? ” ลี้เข้ามาถามไถ่อาการกันหลังจากที่เมื่อคืนนั้นเขาไม่ได้รับสายและไม่ได้ติดต่ออีกคนกลับเลย

 

“ เราไม่เป็นไรหรอก แค่อาหารเป็นพิษ ” มินเลือกที่จะโกหกออกไป และเขาก็รู้เสียด้วยว่าฝ่ายเพื่อนสนิทไม่เชื่อในข้ออ้างนี้เนื่องจากสายตาที่ลี้พิจารณามองร่องรอยบอบช้ำบนใบหน้า แต่เด็กสาวก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เป็นตัวมินเองที่ต้องหลบเลี่ยงสายตานั้น  “ ขอโทษนะที่เมื่อคืนไม่ได้โทรกลับ ”

 

“ ไม่เป็นไรๆ เห็นพี่เตี๋ยวอยู่กับมึงกูก็วางใจละ ” ลี้ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เลื่อนหาภาพที่ถ่ายไว้เมื่อคืน “ เออ งานเพลทอะ ส่วนของมึงกูทำให้เสร็จแล้วนะ ไม่ต้องห่วง ”

 

“ ขอบใจนะลี้ ”

 

“ อีกอย่างนะไอ้มิน ” เด็กสาวสูดลมหายใจครู่หนึ่ง ดูก็รู้ว่าเธอมีบางอย่างที่อยากจะพูดออกมามากกว่านั้น แต่ลี้ก็ทำเพียงแค่วางมือบนลาดไหล่ “ คือกูก็เพื่อนมึงอะนะ ถ้ามีอะไร มึงบอกกูได้เสมอนะเว้ย ”

 

ความเงียบงันโรยตัวลงมาห้อมล้อมบรรยากาศไว้ครู่ใหญ่ มินถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าแล้วคลี่รอยยิ้มบางเบาให้อีกคน อันที่จริงเขาอยากเล่าให้ฟังจะแย่ ถ้าหากมันพอจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ถ้าหากมันจะช่วยเจือจางความหวาดวิตกที่เขามี แต่สิทธิ์ของร่างนี้ไม่ใช่ของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์

 

เขาแค่มาอาศัยโฮมสเตย์ก็เท่านั้น..

.

.

 

เด็กหนุ่มเดินลงบันไดของตึกเรียนหลังจากทำหน้าที่รวบรวมสมุดวิชาภาษาไทยไปวางไว้ที่โต๊ะของอาจารย์ประจำวิชา เขาใช้สายตามองแต่ละคนที่เดินสวนไปมาอย่างระแวดระวัง 

เวลาหนึ่งวันนี้ผ่านไปอย่างทรมาน ความหวาดระแวงทำให้โสตประสาททั้งหมดทำงานได้ดีกว่าปกติ มันผสานกับจินตนาการของตนเองจนบางครั้งก็ดีเกินไป แค่เพียงเห็นแผ่นหลังของครูท่านใดที่คล้ายกันกับครูภัทรขึ้นมา สมองก็ยิ่งเร่งสั่งให้สองขาก้าวห่างไปให้ไกล ลมหายใจหอบถี่ขึ้นมากะทันหัน

นี่คงเป็นความหวาดกลัวที่เจ้าของร่างคนเดิมเผชิญมาตลอด ความทรมานของมินที่ถูกคนรอบข้างเมินเฉย ไม่มีใครรู้เลยว่าคนนี้ถูกทำร้าย ถูกปิดปากไว้ด้วยความกลัวและความรังเกียจในตนเองจนไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้

เขาไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน อยากร้องไห้ อยากหายไปจากที่แห่งนี้ ไปสักที่ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย และคนเดียวที่เขานึกถึงคือก๋วยเตี๋ยว

 

เวลาดำเนินอย่างเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึก

แม้จะใกล้เวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม แต่เขาอยากให้มันจบสิ้นลงในตอนนี้ ขณะนี้

 

“ มิน ”

 

เขาชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ก่อนจะหันไปพบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ..พี่รหัสของเขาหรือพายนั่นเอง เมื่อเห็นใบหน้านั้น ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาทันที

 

พายรู้สึกทรมานหรือขยะแขยงตัวเองอย่างที่มินเป็นหรือเปล่า

 

จบความคิดนั้น คลื่นความรู้สึกผิดก็พลันโถมถล่มเข้ามากลางใจ

 

“ มีอะไรเหรอพาย? ”

 

“ เราอยากขอคุยด้วยหน่อย ”

 

พวกเขาทั้งคู่หยุดตรงหน้าโต๊ะม้าหินอ่อนข้างตึกเรียน นัยน์ตาของพายอาบเคลือบด้วยหยาดน้ำคล้ายว่าจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ “ พายขอโทษนะ พายนึกว่ามินจะไม่อยากคุยกับพายด้วยแล้ว ”

 

เขารู้สึกผิดที่เคยใช้คำพูดรุนแรง ไล่คนตรงหน้าให้ไปตาย

ทั้งที่คนเป็นเหยื่อสมควรได้รับความรักและการปกป้อง ไม่ใช่การซ้ำเติมด้วยอารมณ์เหมือนอย่างที่เขาทำลงไป

 

“ ไม่พาย คือเรา.. เราว่าเรานี่แหละที่ต้องขอโทษพาย ” มินสบสายตาฝ่ายพี่รหัส แสดงความจริงใจที่มี “ เรื่องครูภัทรอะ พายไม่ผิดเลยนะ คนผิดคือมันต่างหาก ”

 

“ มินไม่โกรธพายใช่มั้ย? ”

 

“ เราไม่โกรธพายแล้ว จริงๆนะ ” มินเคลื่อนกายเข้าใกล้ ยิ่งได้เห็นสภาพเปราะบางของอีกคนก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ พายเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูง ไม่ควรมีใครใช้ประโยชน์จากความพยายามที่เธอมี

 

เด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะสวมกอดอีกฝ่าย หากแต่สิ่งที่คนตรงหน้าทำคือการประทับรอยจูบบนริมฝีปาก

ความตกใจที่มีทำให้เขาชะงักนิ่ง เรียวปากเผลอเผยอออกต้อนรับเมื่อสัมผัสโค้งนุ่มนั่นเริ่มบดเบียดเข้าหา

คล้ายกันกับเหตุการณ์เมื่อเช้า เพียงแต่เปลี่ยนตัวบุคคลจากก๋วยเตี๋ยวมาเป็นพาย

 

ความเผลอไผลทำให้เขาตอบสนอง มินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เศษซากความห่วงหาอาวรณ์ในตัวอีกคนที่เขาเคยนึกว่าจะถูกพัดหายไปหมดแล้วนั้นถูกกอปรขึ้นมาใหม่ มันเป็นความจริงที่เขาเคยรู้สึกดีกับคนนี้ เคยปรารถนาในริมฝีปากคู่นี้

เสียงร้องหนึ่งในใจตะโกนบอกให้เขาหยุดการกระทำนี้จากทั้งตัวเองและพายเสียที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป..

 

พายผละใบหน้าออกมาเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มประหลาด ก่อนจะหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอ

 

“ พาย? ”

 

เด็กสาวเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยเสียงกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “ มึงนี่หลอกง่ายเนอะ ”

 

ในตอนนั้นเองที่มินได้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พี่รหัสของเขาอีกต่อไป แต่เป็นผู้คุม

“ มึงอย่าลืมดิวะ ว่ามึงต้องทำอะไร ”

 

เขารีบก้าวฝีเท้าถอยหลังออกมา นอกเหนือจากความจริงที่เพิ่งตระหนักรู้เมื่อครู่นั้นเอง เขาเห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นี่ และคงได้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด

 

“ พ..พี่ก๋วยเตี๋ยว..

 

แววตารวดร้าวคู่นั้นทำให้หัวใจเขาเจ็บ ทว่าก่อนที่จะได้เข้าไปอธิบายให้ก๋วยเตี๋ยวเข้าใจความเป็นจริง ฝ่ายนั้นก็รีบเดินหนีไปอีกทางเสียแล้ว

แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะหาข้ออ้างใดมาแก้ตัวก็คงฟังไม่ขึ้นอยู่ดี การกระทำก่อนหน้านี้แจ่มชัดแล้วว่าเขากำลังทำร้ายและทำลายความเชื่อใจที่ก๋วยเตี๋ยวเคยมีให้กันมาตลอด

 

มันจบแล้ว

.

.

 

มันจบลงแล้ว

 

สองมือของชายหนุ่มจับแน่นที่พวงมาลัย ก๋วยเตี๋ยวบังคับยวดยานให้ไปตามเส้นทางด้วยจิตใจสับสน ความเสียใจระคนกับความโกรธ ภาพที่เห็นในโรงเรียนนั้นทำให้คนใจเย็นมาตลอดอย่างเขานึกอยากจะอาละวาด อยากจะตะโกนถามออกไปว่าที่ผ่านมาเห็นเขาเป็นตัวอะไรถึงได้ทำกันแบบนี้

แต่ถ้าหากไม่รัก ทำไมถึงได้ลากเขากลับไปที่หลุมรักแห่งนั้นอีกหน กลบฝังกันด้วยรอยจูบ อย่างจะหวังไม่ให้เขาสามารถตะเกียกตะกายปีนกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง ทั้งที่ครั้งก่อนนั้นเขาเคยเพียรใช้ความพยายามแทบตายในการตัดใจ เสี่ยงเอาชีวิตไปแลกกับดอกไม้ความรักในปอด

 

“ แม่งเอ้ย!

เท้าขวาเหยียบเบรกเมื่อขับมาถึงในซอยของตระกูล เขาขยับเกียร์เป็นตัว P ให้รถจอดนิ่งสนิทอยู่เช่นนั้นแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ เพิ่งตระหนักได้ว่าวันนี้เขาขับด้วยความเร็วเกินกำหนด อีกไม่นานใบสั่งคงถูกส่งมา แต่ช่างมันปะไร

 

มินก็ยังเป็นเหมือนเดิม ความรักนั้นไม่เคยเป็นของก๋วยเตี๋ยว

กว่าจะรู้ว่าดาวดวงร่วงโรยที่ตนเองประคับประคองไว้นั้นคือเศษแก้ว สองมือก็เต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะเสียแล้ว

 

            ความรักครั้งนี้ไม่มีก้านกิ่งของดอกไม้เลื้อยพันในอก หากแต่แรงมัดตรึงที่ไม่มองเห็นนี้กลับกำลังบีบรัดหัวใจจนแน่น มันเคลื่อนขึ้นมากลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ครอบครองขอบตาร้อนผ่าว ก๋วยเตี๋ยวซบหน้าลง ซุกซ่อนมันไว้หลังสองมือ

            และเมื่อรู้ตัวอีกที เรือนกายก็สั่นเทาด้วยแรงสะอื้น

 

เป็นเวลาเดียวกันกับที่เมฆครึ้มกลั่นตัวลงมาเป็นเม็ดฝน ร่วงโปรยลงมาเหมือนอย่างที่มันเป็นเมื่อเช้า

สายฝนที่เคยเป็นพยานในรอยจูบ กำลังร่วมร้องไห้กับความรักแหลกสลายไปด้วยกันกับเขา

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

ขอโทษจริงๆนะคะที่หายไปหลายเดือนเลย T/\T ไม่ว่ายังไงก็จะพยายามไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ

ถ้าใครที่ยังเข้ามาอ่านอยู่ อยากบอกว่าขอบคุณมากๆนะคะที่ไม่ทิ้งเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

 

แท็ก #ficlovegrown ที่เดิมค่ะ :3

 

[Fiction] One Rainy Night (ก๋วยเตี๋ยว/มิน): Chapter II – The Painting

Title: One rainy night

Pairing: ก๋วยเตี๋ยว(เลือดข้นคนจาง)/มิน(โฮมสเตย์)

Genre: Heavy angst, Hurt/Comfort, Fluff

Note:

          Hanahaki-disease คือ อาการของคนที่มีดอกไม้งอกขึ้นมาในปอด เกิดจากรักข้างเดียวหรือรักที่ไม่สมหวัง

          เราจะถือกันว่าน้องเวกัสไม่เคยมีอยู่ในตระกูลจิระอนันต์นะคะ

Chapter II The Painting

 

บางครั้งก๋วยเตี๋ยวก็นึกสงสัยว่ามินมีพลังพิเศษหรือเปล่า

            เขาแวะเวียนมาที่โรงเรียนปทุมปัญญากรบ่อยขึ้นเพราะอยากหามุมถ่ายรูปหลังจากที่ฝ่ายเพื่อนรักร่วมคณะชักชวนมาเป็นตากล้องในงานกีฬาสีของโรงเรียน ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่เหตุผลรอง เหตุผลหลักคือเด็กนักเรียนคนหนึ่งต่างหาก

เย็นย่ำแล้ว แมวจรในคืนฝนตกของเขานั่งอยู่ที่อัฒจรรย์นั่น แสงสีส้มอมแดงจากพระอาทิตย์อัสดงจับสะท้อนบนเรือนผมและผิวหน้า สะกดสายตาของเขาให้ตรึงไว้ที่ภาพนั้นได้เหมือนอย่างที่สะพานไม่มีผิด ณ วินาทีนั้น ก๋วยเตี๋ยวคิดว่านั่นคือพลังพิเศษของมิน

พลังพิเศษที่ส่งผลต่อหัวใจของเขาโดยตรง

 

เขาเห็นมินกำลังขีดเขียนบางอย่างลงบนสมุดสเก็ตช์ภาพที่วางอยู่หน้าตัก

และด้วยความที่อยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ก๋วยเตี๋ยวจึงเดินเข้าไปนั่งข้างกัน เว้นระยะห่างไว้เล็กน้อยเผื่อความเป็นส่วนตัว แต่ก็ใกล้พอที่จะทำให้มินรับรู้ถึงการมาเยือน

 

“ สวัสดีครับพี่ก๋วยเตี๋ยว ” เด็กหนุ่มชะงักมือจากการวาดเขียนมายกไหว้เขา ทำเอาก๋วยเตี๋ยวรับไหว้แทบไม่ทัน

 

“ หวัดดีครับน้องมิน บังเอิญเนอะ ” ก๋วยเตี๋ยวหัวเราะแก้เก้อ การสบตากับมินทำให้เขาประหม่า รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเองเข้าไปทุกที “ มินชอบวาดรูปเหรอ?

 

“ ก็ผมอยู่ชมรมแปรอักษรนี่ครับ ”

 

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นไอ้งั่งขนาดนี้มาก่อน เขาไม่น่าโพล่งคำถามนี้ออกไปเลยทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่

“ แหะ เออ นั่นสิเนอะ ”

 

            อันที่จริงก๋วยเตี๋ยวเคยเห็นภาพวาดของมินมาก่อนจากแบบรวมผลงานในชมรม และเขาเชื่อว่าชิ้นงานศิลปะคือการถ่ายทอดจิตวิญญาณของผู้สร้างมัน เศษเสี้ยวตัวตนจากคนวาดจะหลุดร่อนลงมาเป็นลายเส้น แต่งแต้มด้วยความคิดและจินตนาการที่ฝ่ายนั้นมีลงไป

            และภาพของมินถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างชัดเจนทีเดียว

 

เขาอยากเข้าไปเยือนดินแดนหัวใจแห่งนั้น เข้าไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น

เหตุใดพืชพันธุ์ที่ถูกปลูกขึ้นในดินแดนนี้จึงมีรูปร่างหงิกงอ ก้านใบแห้งกรอบ

อยากเข้าไปทดแทนผืนดินแตกระแหงให้ชุ่มชื้นด้วยความรัก

อยากเข้าไปกระชากม่านหมอกมัวหมองที่กั้นแสงแห่งความหวังและความสุขเอาไว้

 

หากแต่ความคิดนั้นของก๋วยเตี๋ยวเป็นอันต้องสะดุดเมื่อพบว่าลายเส้นดินสอของอีกคนนั้นกำลังวาดรูปผู้หญิงคนหนึ่งที่สะพาน

.

.

 

มีหลายจังหวะในชีวิตที่คุณต้องยอมรับเรื่องที่ไม่อยากยอมรับ

 

หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ก๋วยเตี๋ยวต้องยอมรับว่าคนที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงดินแดนหัวใจของมินมีเพียงพาย

ไม่ใช่ตัวเขาคนนี้

 

            แต่ก๋วยเตี๋ยวเองไม่เคยโกรธมินเลยสักนิด เขาเข้าใจว่าเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่อะไรที่จะมาฝืนบังคับกันได้ ก๋วยเตี๋ยวยอมรับในความรู้สึกนี้ มันไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่สมองสั่งการให้ขาก้าวเดิน ถ้ามันเป็นแบบนั้น เขาคงจะสั่งตัวเองให้เลิกรักอีกคน เพราะความรู้สึกของมินคือหนึ่งในสิ่งที่เขาหวงแหนยิ่งกว่าอะไรบนโลก

            อันที่จริงก๋วยเตี๋ยวไม่ได้คาดหวังสถานะคนรักจากมินเลยด้วยซ้ำ ให้เขาเป็นอะไรก็ได้ ความต้องการสูงสุดของเขาคือรอยยิ้มทดแทนสีหน้าหมองหม่นนั่น ไม่ต้องให้หัวใจกันก็ได้

            ทว่าความคิดแสนพระเอกของเขาทำหน้าที่ได้ดีก็ต่อเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้รักใครอื่น ก๋วยเตี๋ยวขอยอมรับแต่โดยดีอีกหนึ่งข้อว่าการที่มินคบกับพี่รหัสของเจ้าตัวที่ชื่อว่าพายนั้นทำให้เสียใจไม่ใช่น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของมินอยู่ดี สิ่งที่เขาต้องมีเพียงแค่เก็บซากเศษหัวใจแล้วประกอบมันขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง

ซึ่งถ้ามันเป็นเพียงเท่านั้นก็คงจะดี

การไม่รักตอบของมินกลับทำให้ดอกไม้บ้าบอนั่นงอกขึ้นมา

อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องยอมรับ คือเขาก็รักชีวิตตัวเองไม่แพ้กันหรอก การเติบโตของมันทรมานกันอย่างเชื่องช้า เขาไม่อาจทนทุกข์กับรักข้างเดียวได้มากมายขนาดนั้นจนลืมรักตัวเอง เขาทิ้งครอบครัวที่บอบช้ำกับการสูญเสียและปมขัดแย้งระหว่างกันแล้วสังเวยตัวเองให้กับคนที่ไม่เห็นค่าความรักของเขาเลยไม่ได้

            สาเหตุของดอกไม้ดอกนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับตลอดมา

 

ความรู้สึกเหล่านี้มีตัวเขาเองเป็นคนเริ่มมันขึ้นมา น่าเสียดายที่ถึงแม้จะมีเพียงความปรารถนาดีให้ แต่ความรักกลับร้ายกาจ หมายมาดจะเอาชีวิตเขาเสียได้ นั่นทำให้ก๋วยเตี๋ยวเลือกที่จะเซ็นต์ยอมรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด ผลลัพธ์ของมันมีความเป็นไปได้หลากหลาย เขาอาจจะไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว หรืออาจจะลืมทุกอย่างเกี่ยวกับมินไปจนหมดสิ้น

หรืออาจจะรักมินได้อีกครั้ง แล้วอาการเหล่านี้จะกลับมาเป็นซ้ำอีก

แต่ก๋วยเตี๋ยวรู้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นตัวเลือกสุดท้ายได้อีกแล้ว เขาจะไม่กลับไปเป็นตากล้องให้ชมรมแปรอักษรและแสตนเชียร์ของโรงเรียนปทุมปัญญากรอีก เขาจะไม่ไปเจอหน้ามินอีก ตัดขาดกันไปเอาให้เหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาจะได้ไม่ต้องทรมาน และมินก็จะไม่ต้องอึดอัดกับความรักที่เขากองให้ตรงหน้าแต่ไม่อาจรับไว้ได้

มันไม่มีตัวเลือกใดที่เหมาะสมกว่านี้ไปอีกแล้ว

 

ให้ตายเหอะ ไอ้เรื่องที่เคยคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้นั่นกลับกลายจะเป็นได้ในขณะนี้

เขาควรแน่วแน่อย่างที่เคยตั้งใจไว้เสียทีว่าจะไม่กลับไปรักมินอีก

 

นั่นเป็นความคิดของก๋วยเตี๋ยวก่อนที่จะมีสายเรียกเข้าหนึ่งดังขึ้นมา มันเป็นหมายเลขโทรศัพท์แปลกหน้า ทว่าเขาก็ยังคงกดรับสาย และกล่าวทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ สวัสดีครับ ”

 

“ สวัสดีครับ นี่เบอร์พี่เตี๋ยวใช่มั้ยครับ?

ใจเขาเต้นแรงอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงเคยคุ้น ก๋วยเตี๋ยวรู้ได้ในทันทีว่าคนปลายสายคือมิน

 

“ อ่าใช่ นี่ก๋วยเตี๋ยวเองครับ นั่นน้องมิน? ใช่มั้ย?

 

“ ใช่ครับพี่เตี๋ยว ”

 

ก๋วยเตี๋ยวหลับตาลง ภาวนาว่าต่อให้มันเป็นการกรอกลับของม้วนภาพยนตร์เรื่องเดิม

แต่เขาไม่อยากให้มันมีตอนจบแบบเดิมเลย

.

.

 

มินไม่อยากกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกเลย

เขารู้สึกเหมือนทุกคนเป็นเศษผงน่ารำคาญ เกลียดพี่ชายที่ใช้สายตาดูแคลนกันตลอดเวลา

เกลียดพ่อที่เอาเปรียบ เกลียดแม่ที่บังอาจมาทำลายความไว้ใจที่เขาเคยมี

 

            นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหาทางติดต่อก๋วยเตี๋ยว โชคดีที่ลี้ยังคงเซฟเบอร์โทรศัพท์ของอีกคนเอาไว้เพราะต้องติดต่อกับคนในชมรมเมื่องานกีฬาสีปีที่แล้ว ทีแรกเขาอยากชวนเจ้าตัวไปที่ร้านขนมสักแห่งเพราะอยากขอบคุณสำหรับก๋วยจั๊บในคืนฝนตกนั่น

            แต่ดูท่าว่าจะนอกเหนือจากสิ่งที่เขาวางแผนไว้เล็กน้อยเนื่องจากพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้จบลงที่ร้านขนม หากแต่กลับเป็นที่บ้านของตระกูลจิระอนันต์

 

อันที่จริงมันผิดจากที่คาดนึกเอาไว้มากโขเลยต่างหาก นอกเหนือจากการเป็นแขกประจำบ้าน มินกลับกลายมาเป็นลูกมือช่วยงานในครัว เพราะอากาศของช่วงสี่โมงเย็นวันนี้ค่อนข้างร้อน และก๋วยเตี๋ยวมีธรรมเนียมของตัวเองว่าจะต้องทำแปะก๊วยน้ำมะพร้าวใส่เกล็ดน้ำแข็งให้อาม่าเพื่อคลายร้อน ส่วนร้านขนมเอาไว้เป็นเรื่องของวันหลัง

ก๋วยเตี๋ยวคงคิดว่าเขาจะปฏิเสธ อันที่จริงมินจะไม่มาก็ได้ ทว่าอย่างไรเสียในเมื่อเขาไม่อยากอยู่ท่ามกลางครอบครัวน่ารังเกียจของตัวเองอยู่แล้ว เขาจึงตอบตกลงและอาสาจะช่วย และอีกฝ่ายนั้นก็ประหลาดใจกับคำตกลงของเขามากทีเดียว

 

“ เนื้อมะพร้าวโอเคมั้ยมิน? ”

 

ขั้นตอนการทำในส่วนของมินนั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เขามีหน้าที่แค่ขูดเนื้อมะพร้าวจากในผลกับช่วยหยิบของเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้น ส่วนเรื่องการต้มแปะก๊วยกับน้ำมะพร้าวนั้นก๋วยเตี๋ยวเป็นคนจัดการเอง

“ โอเคครับเชฟ ”

มินแกล้งตอบคนอายุมากกว่าด้วยการเลียนแบบพวกผู้เข้าแข่งขันรายการทำอาหาร และตามมาด้วยเสียงหัวเราะของพวกเขาทั้งคู่

 

“ พี่ว่ามินกวนขึ้นนะเนี่ย ”

 

“ ก่อนหน้านี้ผมไม่กวนพี่แบบนี้บ้างเลยเหรอครับ? ”

 

“ เหอะ อย่าว่าแต่กวนเลย ไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำ ” ก๋วยเตี๋ยวหันมาตอบครู่หนึ่งก่อนจะปิดแก๊ส ทัพพีที่ก่อนหน้านั้นใช้เคี่ยวน้ำเชื่อมใบเตยในหม้อถูกเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นตักน้ำเชื่อมนี้ขึ้นมาใส่ถ้วย พักไว้ให้เย็นลงเพื่อเตรียมผสมกับน้ำมะพร้าว กลิ่นหวานหอมลอยฟุ้งไปทั้งครัว “ แต่มินก็ไม่ค่อยพูดกับทุกคนนั่นแหละ ”

 

ก๋วยเตี๋ยวอยากเสริมต่อว่า ยกเว้นกับน้องพายแต่ก็ยั้งไว้

 

“ พี่ยังเคยกังวลเลยว่ามินจะมีเพื่อนบ้างรึเปล่า แต่เห็นมินมีน้องลี้แล้วค่อยสบายใจหน่อย ”

 

“ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับพี่เตี๋ยว ตอนนี้ผมมีพี่แล้วด้วยนี่ไง ”

 

ก๋วยเตี๋ยวเบือนหน้าไปอีกทาง มินยังคงมีพลังพิเศษกับเขาดังเดิม ชายหนุ่มพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มด้วยการใช้ช้อนชาตักน้ำเชื่อมเพื่อชิมว่าความหวานที่ได้นั้นพอดีแล้วหรือไม่

“ งั้นคราวนี้ก็.. อยู่กับพี่ไปนานๆนะ ”

 

มินไม่รู้จะตอบคำร้องขอนั้นอย่างไรดี เขายิ้มเจื่อน มือข้างหนึ่งเขี่ยเนื้อมะพร้าวที่ถูกขูดออกมาแล้วในถ้วยไปมา วินาทีนั้นเขาเกลียดตัวเองที่เผลอไผลเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาอาศัยร่างนี้เพียงชั่วคราวก็เท่านั้น

           

เขาไม่อาจกระโจนเข้าหาความตายเพื่อหลบเลี่ยงความเจ็บปวดทั้งหมดเหมือนอย่างที่มินคนเดิมกระทำได้

ถ้าเขาทำแบบนั้น สิ่งที่ได้จะเป็นความว่างเปล่านิจนิรันดร์

เขาจะไม่อาจมีความสุขได้อีกแล้ว เขาจะไม่เจอก๋วยเตี๋ยวอีกแล้ว

ก๋วยเตี๋ยวคือคนเดียวที่ทำให้มินรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนเองเผชิญนั้นโหดร้ายน้อยลง

.

.

 

อีกหนึ่งพลังพิเศษของมินที่ก๋วยเตี๋ยวเพิ่งค้นพบ

คือการทำให้แปะก๊วยน้ำมะพร้าวที่หากินได้ทั่วไปนั้นมีความอร่อยขึ้นอย่างประหลาด

 

            อันที่จริงมันมีเรื่องให้ประหลาดใจเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่มินตอบตกลงการมาเยือนที่บ้าน มาเป็นลูกมือในครัวให้เขา ถ้าหากย้อนเวลากลับไปก่อนที่ดอกไม้นั่นจะงอกขึ้นมา เรื่องพวกนี้ดูจะไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิด

            สัมผัสเหนียวหนึบของแปะก๊วยที่ผ่านการต้มน้ำเชื่อมและทิ้งไว้ข้ามคืนตามสูตรของอาม่าดูจะไม่เติมเต็มหัวใจของก๋วยเตี๋ยวได้เท่ากับภาพมินเคี้ยวมันเสียเต็มแก้ม น้ำมะพร้าวกลิ่นใบเตยก็ไม่หวานเท่ากับรอยยิ้มของอีกคน เขาอยากจะบอกกับอาม่าว่าคนนี้แหละที่เขาอยากจะร่วมไหว้ฟ้าดินด้วยกัน

            แต่ถ้าอาม่ารู้ว่ามินคือคนที่ทำให้ดอกไม้งอกขึ้นมาในปอดของเขาจนเกือบตาย ก็คงไม่มีทางยอมเป็นแน่ ดังนั้นแล้วความลับจึงยังควรเก็บเป็นความลับไว้ตลอดไป

           

            ก๋วยเตี๋ยวเดินไปที่ชั้นวางหนังสือในห้องนอน มองหาอีกหนึ่งความลับที่เขายังคงเก็บซ่อนไว้อยู่ มันเป็นสมุดสเก็ตช์ภาพของมินที่ถูกส่งมาให้เขาเมื่อเดือนที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่ทำให้เขาได้รับมันนั้นคืออะไร เขารู้เพียงว่ามันคือสมุดเล่มเดียวกันกับวันนั้น

ชายหนุ่มพลิกแผ่นกระดาษทีละหน้า เขาไม่เคยเปิดมันดูเลยสักครั้งเพราะเขาเคยไม่อยากนึกถึงมินอีกแล้ว ก่อนจะพบว่าหน้ากระดาษที่วาดรูปผู้หญิง(ซึ่งเขาเข้าใจว่าน่าจะเป็นพาย)ถูกฉีกออกไป และถูกทดแทนด้วยภาพวาดสีน้ำในหน้าถัดไป

 

ภาพนั้นทำให้มุมปากของก๋วยเตี๋ยวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

เขาจินตนาการภาพขณะที่อีกคนนั้นกำลังรังสรรค์งานศิลปะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังขมักเขม่นกับหน้ากระดาษ มือที่จับด้ามพู่กันแต้มปลายแปรงด้วยสีสันไปมา

 

มือคู่นั้นที่ก๋วยเตี๋ยวคิดว่ากำลังจะยึดเอาหัวใจเขาไปอีกครั้งหนึ่ง

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

ผ่านไปอีกตอนแล้วค่ะฮว้ากกก แอบไม่มั่นใจตอนนี้เบาๆค่ะ ไม่รู้ว่ามันจะจืดไปรึเปล่า แต่พยายามทำให้หวานขึ้นแล้วด้วยแปะก๊วยน้ำมะพร้าวนะคะ ;w;

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันและแท็กใน #ficlovegrown ได้เหมือนเดิมค่า อิvอิ

 

[Fiction] One Rainy Night (ก๋วยเตี๋ยว/มิน): Chapter I – The Bridge

Title: One rainy night

Pairing: ก๋วยเตี๋ยว(เลือดข้นคนจาง)/มิน(โฮมสเตย์)

Genre: Heavy angst, Hurt/Comfort, Fluff

Note: Hanahaki-disease คือ อาการของคนที่มีดอกไม้งอกขึ้นมาในปอด เกิดจากรักข้างเดียวหรือรักที่ไม่สมหวั

Chapter I The Bridge

 

กับในบางเรื่อง ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์มันจะเละเทะเพียงใด ตัวเองก็คงจะยังตัดสินใจแบบนี้

กับคนบางคน ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าต้องกล้ำกลืนน้ำตาหากลองได้รัก แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ยังคงเลือกคนนี้อยู่ดี

 

ก๋วยเตี๋ยวเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่สะพานมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ถัดไปไม่ไกลนักเป็นเสาไฟต้นสูง แสงสว่างที่สาดลงมากระทบร่างนั้นเพียงเสี้ยวจนดูเหมือนทาบทับด้วยเงาราง สะท้อนกับละอองน้ำฝนที่กำลังร่วงโปรยลงมา กลายเป็นภาพตรึงสายตาให้เขาชะงักการก้าวเดิน

อันที่จริงมันไม่ใช่แค่เพราะองค์ประกอบอันงดงามของภาพหรอก อีกหนึ่งปัจจัยที่หยุดสายตาของเขาคือการกระทำของเด็กหนุ่มคนนั้นต่างหาก

 

เขาเห็นว่าสองมือนั่นกำลังยืนออกไปจับแน่นบนราวเหล็ก ลางสังหรณ์ในทางไม่ดีร้องเตือนให้ก๋วยเตี๋ยวเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “ น้อง!

 

ฝ่ายนั้นสะดุ้ง มือที่จับราวเหล็กในก่อนหน้านี้ปล่อยออกอย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังจับของร้อน สายตาคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความตื่นตระหนกระคนระแวดระวัง เหมือนแมวจรที่ไม่ต้อนรับสัมผัสจากคนแปลกหน้า

“ เอ่อ..คือ.. ” ก๋วยเตี๋ยวอยากอธิบายให้อีกคนเข้าใจว่าตัวเขาไม่ใช่มิจฉาชีพหรืออาชญากร เขาไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกเสียจากให้เด็กหนุ่มคนนี้กลับบ้านอย่างปลอดภัย

 

“ น้องจะโดดเหรอ? ”

 

“ ผม.. ”

 

แม้จะถูกม่านฝนกางกั้น แต่แสงสว่างจากเสาไฟทำให้เขาสามารถเห็นแววตาอมทุกข์คู่นั้นได้ ยิ่งตอกย้ำว่าลางสังหรณ์ของเขาไม่ผิดเพี้ยน

 

            คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างก๋วยเตี๋ยวไม่ค่อยเข้าใจความคิดคนที่เป็นทุกข์จนอยากปลิดชีวิตตัวเองนัก หากแต่เขาก็พอจะจินตนาการมันได้ ในยามที่ปัญหาบีบคั้นชีวิตคนเรา ด่านทดสอบอันยากแสนยากนั่นหมายจะขยี้ให้แหลกเละ ปิดกั้นหนทางจะไปต่อจนแทบไม่หลงเหลือ การกระโจนเข้าหาความตายคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใดอีกแล้ว

            ก๋วยเตี๋ยวไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เด็กคนนี้ทุกข์ใจถึงขนาดนั้น เขาไม่กล้าแตะเพราะไม่รู้ว่ารอยร้าวของหัวใจดวงนั้นปริแตกไปแค่ไหน บาดแผลลึกเพียงใด และไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ ไอ้ประเภทคำพูดที่ว่า นึกถึงหน้าพ่อแม่เข้าไว้ ก็ควรจะพับเก็บไปได้เลย

            เขารู้เพียงแค่ว่าหัวใจยับเยินดวงนี้ควรมีคนช่วยประคับประคอง อีกฝ่ายไม่ควรอยู่ตามลำพังให้ความคิดมืดดำเชิญชวนกระโจนหาความตายเหมือนอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจจะกระทำเมื่อครู่ก่อนหน้านั้นอีก

 

ก๋วยเตี๋ยวเอนร่มในมือไปทางด้านหน้าเล็กน้อย ให้รัศมีของมันพอที่จะกั้นสายฝนไม่ให้ร่างตรงหน้าเปียกปอนไปกว่านี้

“ มีอะไรก็บอกกันได้นะ พี่อยากช่วย ”

 

สายตาเหลือบมองตัวอักษรที่ปักบนเสื้อนักเรียน มันเป็นตัวอักษรย่อของโรงเรียนปทุมปัญญากร จำได้ว่ามีเพื่อนในคณะที่จบจากโรงเรียนนี้มาขอช่วยให้ไปเป็นตากล้องในงานกีฬาสี

 

“ พี่ชื่อก๋วยเตี๋ยวนะ เป็นเพื่อนไอ้บาส รุ่นพี่ของน้องอะ ”

 

ความระแวดระวังในแววตานั้นเริ่มผ่อนคลายลง แต่ก็ยังไม่ไว้ใจกันเต็มร้อยอยู่ดี “ ค..ครับ ” และมันยิ่งทำให้ก๋วยเตี๋ยวคิดว่าอีกคนเหมือนแมวจรเข้าไปใหญ่

 

คนอื่นอาจมองว่านี่คือความบังเอิญ แต่สำหรับเขามันคือพรหมลิขิต

พรหมลิขิตที่ทำให้เมล็ดพันธุ์ความรักแตกออกจากฝัก หยั่งรากลงในปอด

กิ่งก้านของมันเลื้อยพันพื้นที่ในอก หนามแหลมขูดขีดจนเคืองระคาย

หากทว่าการบานสะพรั่งของดอกไม้กลับยวนตายิ่งกว่าพืชพันธุ์ใดบนโลก

.

.

 

ภาพตรงหน้าเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยนจนทำให้ก๋วยเตี๋ยวอดนึกไม่ได้ว่าบางทีตนเองอาจจะตกอยู่ในวังวนของเวลา

สายฝนร่วงพราว แสงจากเสาไฟต้นสูง

ร่มคันนี้ที่ถืออยู่ก็ยังเป็นคันเดิมเหมือนเมื่อวันนั้น

สะพานแห่งเดิม เด็กหนุ่มคนเดิม

สิ่งเดียวที่แปลกตาไปจากเดิมคงเป็นทรงผมที่ไม่ใช่หน้าม้าเต่อเหนือคิ้วนั่นอีกแล้ว

แต่ที่สำคัญที่สุด ภาพนั้นยังคงตรึงสายตาของเขาเอาไว้ได้.. เหมือนเดิม

 

และก๋วยเตี๋ยวเองก็รู้ตัวว่าหากตนเองเดินเข้าไปเหมือนครั้งนั้น เหตุการณ์เดิมคงจะฉายซ้ำ ความรู้สึกเดิมคงกลับมา รู้ตัวดีว่าหากไม่เข้าไปก็คงกลายเป็นคนใจร้าย แต่ความเจ็บปวดที่เคยเผชิญตอนนั้นยังฝังแน่นในหัวใจ เขาได้รับบทเรียนแล้วว่าหัวใจของตัวเขาเองต่างหากคือสิ่งที่ควรหวงแหนที่สุด

 

“ พี่! พี่ก๋วยเตี๋ยวใช่มั้ยครับ?

 

แต่เสียงเดิมเสียงนั้นเรียกให้เขากลับไป..

 

.

.

 

ทรายสีแดงในนาฬิกายังคงร่วงหล่นไปในอีกฟากฝั่ง

            หลังจากตอบคำถามกับผู้คุมผิด สมองของมินคล้ายว่าจะประมวลผลอะไรต่อจากนั้นไม่ได้อีกแล้ว เขาไม่รู้เลยว่ามันผิดพลาดตรงไหนในเมื่อชัดเจนเสียขนาดนี้ว่าทุกคนรอบข้างทำให้มินคิดอยากปลิดชีวิตตัวเอง

            มินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เม็ดฝนตกกระทบเหมือนเข็มขนาดเล็กเย็นจัดทิ่มแทงเข้าทุกส่วน หัวใจเหมือนโดนทุบจนแหลก ปลงตกแล้วว่าหลังจากนี้ไป เขาจะไม่มีสิทธิ์ได้พักอาศัยในโฮมสเตย์หลังนี้อีกแล้ว กลับไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคือใคร และไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย..

 

ในช่วงวินาทีแห่งความสิ้นหวังนั้นเอง เขาพบกับใครคนหนึ่ง

            เจ้าของร่างสมส่วนกับร่มหนึ่งคันนั่นทำให้เกิดความเคยคุ้นก่อตัวขึ้นอย่างประหลาด ทันใดนั้นมินก็นึกได้ว่านั่นคือก๋วยตี๋ยว ลี้เคยบอกกับเขาว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนของรุ่นพี่ในชมรมแปรอักษรและแสตนเชียร์ เคยมาช่วยเป็นตากล้องให้กับชมรม เคยมาตามเทียวไล้เทียวขื่อเขาแต่ก็ล้มเลิกไปเพราะพบว่าเขาไม่ให้ความสนใจกันเสียที

 

มินคนเดิมไม่เคยกล่าวถึงอีกฝ่ายไว้เลยสักนิด ไม่มีชื่อในจดหมายลาตายฉบับนั้น ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ก็ตาม

ราวกับว่าก๋วยเตี๋ยวเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ในชีวิตที่มินคนเดิมหลงลืมไปนานแล้ว

 

แต่มินคนนี้กลับเห็นชิ้นส่วนชิ้นนี้อย่างแจ่มชัด

 

“ พี่! พี่ก๋วยเตี๋ยวใช่มั้ยครับ?

 

เขาตะโกนฝ่าเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำออกไป ชายถือร่มคนนั้นหันกลับมา มินสังเกตเห็นว่าแววตาของก๋วยเตี๋ยวเศร้าสร้อยเมื่อพบกับเขา แต่มันก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งตรงเข้ามาหา

“ มิน!

 

หัวใจของก๋วยเตี๋ยวแทบจะร่วงดิ่งจากสะพานไปแล้วเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนที่ตัวเองอยากจะลืมที่สุดนั้นเปื้อนด้วยเลือด ก๋วยเตี๋ยววิ่งตรงเข้าไปหา นึกโล่งใจเมื่อได้พิจารณาใกล้ๆแล้วพบว่านั่นเป็นแค่เลือดกำเดา ไม่มีรอยฟกช้ำอื่น ไม่น่าจะเกิดจากการถูกทำร้ายแต่อย่างใด

 

“ ตกใจหมดเลย พี่นึกว่าใครทำอะไรมิน ”

 

ก๋วยเตี๋ยวมองคราบเลือดนั่น คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่ใช่คนที่พกผ้าเช็ดหน้าติดตัว จึงใช้ปลายนิ้วเช็ดเลือดออกให้แทน ไร้ซึ่งทีท่ารังเกียจใดๆ มินเองก็ดูประหลาดใจไม่น้อยกับการกระทำนี้

“ ไปที่รถกัน เดี๋ยวพี่จะได้เอาทิชชู่ซับให้ ”

.

.

 

โต๊ะของร้านก๋วยจั๊บโต้รุ่งริมทางเจ้าประจำที่อาม่าของเขาติดอกติดใจหนักหนาย้ายเข้าไปพื้นที่ของกันสาดเนื่องจากวันนี้ฝนตก ทั้งตัวร้านมีลูกค้านั่งอยู่สามคนกับอีกหนึ่งรายที่ยืนกางร่มรอซื้อกลับบ้าน ฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อก่อนหน้านี้แผ่วซาลงเหลือเพียงละอองโปรยเล็กน้อยเท่านั้น

       ชายหนุ่มตักเส้นหลอดกับหมูกรอบเข้าปาก น้ำซุปก๋วยจั๊บร้อนๆที่ซึมซับมาด้วยก่อความอุ่นซ่านขณะกลืน พอจะช่วยบรรเทาความหนาวเย็นจากละอองฝนลงได้บ้าง

ก๋วยเตี๋ยวเหลือบสายตามองมินที่กำลังตักน้ำซุปเข้าปากบ้าง ครู่หนึ่งที่เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าแปลกเปลี่ยนไป ไม่เหมือนคนเดิมที่เคยรู้จัก แววตาคู่นั้นที่เขาเคยมองว่าหมองหม่นกลับกลายเป็นความขุ่นเคืองจางๆ ก็ยังเหมือนแมวจรไม่มีผิด เพียงแต่มินคนนี้ดูเข้าหาได้ง่ายกว่า

 

ครั้นเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขากำลังมองอยู่ มินเงยหน้าขึ้นมองเขาตอบ กว่าจะรู้ตัวว่าดวงตาคู่นั้นอันตรายมากแค่ไหน ก๋วยเตี๋ยวก็พบว่าเขายืนอยู่ริมหน้าผาอีกครั้ง และข้างล่างนั่นคือหลุมรักที่เต็มไปด้วยลวดหนามแหลมคมที่พร้อมจะร้อยรัดมัดตรึงให้ปีนกลับขึ้นมาไม่ได้อีก

เขารีบเสสายตาหลบมองลงในถ้วยก๋วยจั๊บของตัวเองตามเดิม

 

“ ผมกับพี่.. ก่อนหน้านี้เราสนิทกันระดับไหนเหรอครับ?

 

ก๋วยเตี๋ยวรู้สึกเหมือนได้เดินห่างจากริมผานั่นออกมาหนึ่งก้าว ประโยคคำถามนั่นคล้ายจะเตือนสติว่าตัวเองนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับอีกฝ่ายเลยสักนิด “ ก็.. ไม่มากหรอก พี่จีบแทบตายมินไม่เห็นสนใจเลย จะมาชอบพี่ตอบตอนนี้อะไม่ทันแล้วนะ ”

 

ในขณะที่เขาจำได้ทุกอย่าง

รอยแผลเป็นบนหน้าอกของก๋วยเตี๋ยวยังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจน มันย้ำเตือนว่าความรู้สึกนั้นเคยเกิดขึ้น

 

ไม่ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าการกระอักไอออกมาเป็นกลีบดอกไม้นั้นก่อความทรมานมากเพียงใด

ไม่ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าทุกครั้งที่มันแย้มบานเมื่อนึกถึงหน้าคนเดิมคนนี้ทำให้อึดอัดเจียนตาย

ไม่ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าการผ่าตัดเอามันออกนั้นมีความเสี่ยงต่อชีวิตมากทีเดียว มันทำให้เขาเกือบไม่รอดเสียด้วยซ้ำ

 

ถึงแม้ความรู้สึกจะเลือนหายไปพร้อมดอกกุหลาบนั่น หัวใจเจ้ากรรมก็ยังดื้อรั้น พกผ้าขนหนูไว้ในรถเสมอเผื่อว่าวันหนึ่งจะเจอใครสักคนในคืนฝนตกที่ทำให้รู้สึกรักได้มากขนาดนี้อีก ใครคนนั้นที่จะไม่ฆ่ากันด้วยรักข้างเดียวเหมือนที่มินทำกับเขา

แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้ใช้ผ้าขนหนูผืนนี้กับคนเดิม

 

“ จริงเหรอครับ ว้า เสียดายอะ ผมเพิ่งเลิกกับพี่พายพอดี ” มินแกล้งตอบด้วยเสียงกระเซ้าแหย่ แต่มันทำให้ก๋วยเตี๋ยวถึงกับชะงักการเคี้ยวไปครู่หนึ่งทีเดียว

 

เมล็ดพันธุ์ความรักยังคงซ่อนซุก ณ มุมหนึ่งของห้วงหัวใจ

รอการเติบโตอีกครั้งหนึ่ง

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

อยากเขียนคู่นี้มานานแล้วค่ะวี๊ดดดดด ได้เขียนสักที

สำหรับฟิคนี้ใช้แท็ก #ficlovegrown นะคะ

 

 

 

 

 

[Ficlet] If I could turn back time (Porsche/Jackie)

Title: If I could turn back time

Pairing: Porsche/Jackie

Genre: Angst

Note: มันคือฟิคแปลงของเราสองเรื่องรวมกันค่ะ ถ้าอ่านแล้วคุ้นๆอย่าตกใจนะคะ ๕๕๕



If I could I would feel nothing

 

 

..ถ้าวิ่งตามคนข้างหน้าไม่ทันจนเหนื่อยแล้ว..

..ก็ช่วยชะลอให้คนข้างหลังตามทันหน่อยได้ไหม?..

.

.

 

ท่วงทำนองเคยคุ้นจากเครื่องเล่นชั้นดีในตัวรถนั้นไม่ได้ช่วยขับกล่อมให้บรรยากาศเครียดขึงภายในตัวรถลดลงเลยสักนิด  หากแต่น่าประหลาดนักที่ใครอีกคนซึ่งชื่นชอบเพลงนี้นักหนากลับแสดงสีหน้าว่างเปล่า ปลายนิ้วที่มักเคาะตามจังหวะกับพวงมาลัยเมื่อเพลงนี้เล่นวนมานั้นนิ่งสนิท ไม่แม้แต่จะมีอารมณ์ร่วมกับมัน

 

แจ๊คกี้ซี่งเป็นฝ่ายผู้โดยสารเห็นสีหน้าของอีกคนเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ  เขาเบนสายตามองออกนอกหน้าต่างรถ ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นในอก

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะไม่ยอมเอ่ยมันออกไปเด็ดขาด

 

“ เราคิดแบบนั้นกับพี่จริงๆเหรอ? ”

 

           เขาแทบไม่รับรู้ถึงท่วงทำนองหรือเนื้อเพลงใด เหมือนหัวใจร่วงวูบ สิ่งที่เขาได้ยินในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเสียงชีพจรที่กำลังบีบรัดอย่างรุนแรงในช่องอก ความหวาดกลัวระคนเสียใจตีตื้นขึ้นมา 

 

แต่พี่ไม่ได้ชอบเราแบบนั้น

 

เข้าใจนะ? ”

 

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะไม่ยอมทำมันเด็ดขาด

 

            แจ๊คกี้ยังคงจดจำสัมผัสยามเมื่อฝ่ามือที่ประคองใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ในก่อนหน้านั้นค่อยลดระดับลงแล้วละจากได้ จำความอบอุ่นจากสัมผัสนุ่มบนเรียวปากยังคงติดตรึง  ทั้งที่การตอบสนองของคนตรงหน้าช่างเยือกเย็น แทบไร้ความรู้สึก.. และที่ยิ่งชัดเจนกว่าสิ่งใด คือเขาสามารถจดจำความรู้สึกยามเมื่อสิ่งที่คาดหวังนั้นมันผิดพลาดไปหมด

 

..ผมเข้าใจ

 

ไม่น่าเลย.. ไม่น่าเลยจริงๆ

 

แจ๊คกี้พยายามพับเก็บความขมขื่นลงในห้วงใจอย่างเงียบเชียบ  เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ.. ทำไมตนเองถึงได้เป็นตัวสร้างปัญหานักนะ?  และตอนนี้เขาก็กำลังก่อความหนักใจให้ชายหนุ่มตรงหน้า

 

“ รู้ตัวใช่มั้ยว่าไม่น่าพูดออกมาเลย ”

 

เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่คนข้างกายเอ่ยออกมา ดึงสติของเขาให้ยิ่งถลาลึกสู่ความเจ็บปวด สายตาเย็นชาคู่นั้นไม่แม้แต่จะหันมาสบมองตอนที่จอดให้เขาลงยังจุดหมาย

 

“ ผมขอโทษ ”

 

..เขาแค่อยากให้สายตาคู่นั้นมองเขาอย่างคนรักในสักวัน..

..แต่ก็รู้ว่าคงเป็นได้เพียงฝันก็เท่านั้น..

.

.

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะยอมเอ่ยมันออกไปอย่างไม่รีรอ

 

            สำหรับปอร์เช่แล้ว.. แจ๊คกี้เป็นเหมือนบางอย่างที่ล้ำค่าเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมไปสัมผัส  ทั้งที่กระหายจะจูบ  กระหายจะกอด  แต่ความรักมักทำให้คนเราหวาดกลัวสิ่งที่จะเข้ามาทำลายการมีอยู่ของกันและกัน  กลัวว่าการแตะต้องกันเพียงเล็กน้อยจะทำให้อีกคนแตกร้าวไปทุกส่วน

 

ถ้าหากฝ่ายนั้นจะรู้สักนิด.. เขาไม่เคยวิ่งตามใคร

และการทิ้งห่างนั่นก็ไม่ได้เกิดความจงเกลียดจงชังในตัวอีกฝ่าย ศิวกรรู้สึกแบบนั้นกับตัวเองต่างหาก

         

เขาหวาดกลัวการร่วงหล่นมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะการถลำลงในความสัมพันธ์อย่างคนรัก ศิวกรทำร้ายและทำลายมันมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่หน เขาไม่อยากเริ่มมันอีกเพราะรู้ว่ามันต้องจบลงแบบใด 

 

..ทว่าในตอนนี้กำลังโหยหามันแทบขาดใจ

 

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะยอมทำมันอย่างที่ใจต้องการ

 

ปอร์เช่คิดมาตลอดว่าการตั้งใจตัดทิ้งมันเสียเองเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เขาตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ดีกว่าให้มันลุกลามมอดไหม้ หากแต่ในตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจนักว่าที่การตัดสินใจของตนเองในวันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

 

และเขาก็ได้คำตอบว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อได้เห็นแจ๊คกี้กำลังคบกับคนอื่น

 

จูบแผ่วเบาที่เด็กหนุ่มเคยให้เขาในคืนนั้นกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น  สัมผัสอบอุ่นจากปลายนิ้วที่ประคองใบหน้าของเขาในคืนนั้นก็กำลังจะกลายเป็นของคนอื่น

 

ของใครที่ไม่ใช่เขา.. เขาปล่อยโอกาสให้หลุดลอยมาเนิ่นนานเกินไป

 

เขาอยากหลับและฝันว่าตนเองยังสามารถช่วงชิงโอกาสนั้นกลับคืนมาได้

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

เป็นงานแก้บล็อกร้างค่ะ ตอนนี้ writer’s block มากเลย พยายามแก้อยู่ค่ะฮื่อออ ;—-;

หวีดได้ในแท็ก #kwlfic นะคะ

 

[Ficlet] But you touched me, and suddenly I was a lilac sky. (YoonMin)

Title: But you touched me, and suddenly I was a lilac sky.

Pairing: Min Yoongi/Park Jimin

Genre: Angst, Light fluff, Trigger warning: Suicide attempt

 

But you touched me, and suddenly I was a lilac sky.

 

หัวใจของคุณรับเรื่องหนักหนาได้มากมายแค่ไหน?

ซุกซ่อนมันไว้เบื้องหลังนัยน์ตาโรยรา กลบเกลื่อนมันด้วยรอยยิ้มชืดจาง หรือฝังมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้วงหัวใจ ไม่แสดงออกมาและไม่ว่าใครก็ไม่อาจค้นพบ

ถ้าโลกนี้เป็นแบบนั้นได้ก็อาจจะดี ใครต่อใครจะได้ไม่ต้องมารับรู้ ไม่ต้องมาพบเห็นหลักฐานความทุกข์โศกที่เด่นชัดแบบนี้

 

ในโลกที่เรื่องราวทางจิตใจสะท้อนออกมาผ่านสีผม จีมินไม่อาจเก็บซ่อนความเศร้าโศกสีฟ้าหม่นที่หยั่งรากลึกในใจนี้ไว้ได้เลย มันชัดเจนเสียจนเขาไม่อยากจะมองภาพสะท้อนตนเองในกระจก

 

สีเดียวกันกับภาพท้องฟ้าในวันนั้น

 

วันที่เขาเคยทอดร่างลงใต้ผืนน้ำ ภาพของฟ้าครึ้มกระเพื่อมไหวเนื่องด้วยระลอกคลื่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้เห็น เขาปล่อยให้กระแสธารเย็นเฉียบท้นทะลักเข้ามาจนกว่าลมหายใจจะสุดยื้อไว้ได้ ให้ตัวตนร่วงหล่นและจมจ่อมในความอึดอัดทรมานนั้น

หากแต่แทนที่ชีวิตจะเลือนหายและละลายไปกับสายน้ำ แทนที่จะหลุดพ้นจากทุกสิ่ง เรื่องราวกลับตรงกันข้าม เขาตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาล

 

พร้อมกับสีผมที่เปลี่ยนไปอันเป็นหลักฐานของความล้มเหลวครั้งนั้น

 

มันคงจะดีกว่านี้หากเขากล้าที่จะลองอีกครั้ง ลองทำมันให้สำเร็จ ทว่าเหตุการณ์และสีผมบ้าๆนี่ก็เป็นสิ่งตอกย้ำชั้นดีว่าเขามันเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ จะหนีจากโลกโสมมใบนี้ด้วยการฆ่าตัวตายก็ยังทำไม่ได้ สมควรแล้วที่จะต้องก้มหน้าก้มตารับบทลงโทษด้วยการใช้ชีวิตต่อไป

 

ชีวิตห่วยๆของมนุษย์คนหนึ่งที่สภาพจิตใจพิกลพิการ ไม่อาจรับรู้ความสุขจากอะไรได้อีกแล้ว มันแตกหักและยับเยิน ทำหน้าที่เพียงพาตัวรอดไปวันๆก็เท่านั้น

 

แต่ใครบางคนก็เคยได้บอกกับเขาเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งอาจจะได้พบเจอกับคนที่ทำให้มองเห็นค่าความหมายของชีวิต จีมินเคยตอกกลับมันไปว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เหตุการณ์พรรค์นั้นไม่มีทางเกิดขึ้น แค่ใครคนหนึ่งจะมาเปลี่ยนความคิดได้อย่างไรในเมื่อคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจมันควรเป็นตัวของเขาเอง

 

ในตอนนั้นเขาอาจจะคิดผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้

เพราะหลังจากได้เจอมินยุนกิ เขาก็ค้นพบว่าชีวิตห่วยๆนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก

 

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงทำให้จีมินค้นพบสิ่งเสพติดรูปแบบใหม่ ไม่แน่ใจนักว่าหากยังคงใช้งานต่อไปในระยะยาวจะทำให้เกิดอันตรายหรือไม่

 

“ ขอหน่อยนะ ” เขาดึงมวนบุหรี่ที่อีกฝ่ายเพิ่งจุดมาจากมือ

 

“ เห้! จะสูบก็เอาอันใหม่สิ ”

 

ปาร์คจีมินยักไหล่ ยืนยันดังเดิมว่าต้องเป็นบุหรี่ตัวนี้  “ ก็ผมอยากได้อันที่ผ่านปากคุณมาแล้ว ” ก่อนจะจรดมวนบุหรี่เข้ากับริมฝีปากของตัวเอง

 

ยุนกิก็เป็นเหมือนกับเขา เป็นอีกคนที่ต้องทนเผชิญกับหลักฐานของบาดแผลทางใจในรูปแบบของสีผมนั่น

หมอนั่นเคยเล่าว่าสาเหตุของมันเป็นแสงจัดจ้าจากเปลวเพลิง ความร้อนจนแสบผิวหนังและกลุ่มควันยังเป็นสิ่งที่ติดแน่นในความทรงจำ และเหนือกว่าอะไรทั้งหมดคือแววตาว่างเปล่าของผู้เป็นมารดา

 

คนก่อเหตุครั้งนั้นไม่ใช่ตัวยุนกิเองหรอก

 

พวกเขามันเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ที่ถูกครอบครัวทอดทิ้ง ถึงแม้ว่าการรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีความทุกข์เหมือนกันจะไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับความสุขขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าการมีกันและกันอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตครึ่งๆกลางๆนี้อ้างว้างนัก

 

คราวนี้มวนบุหรี่ถูกดึงออกไปจากมือเขาบ้าง รสเข้มที่ยังคั่งค้างในลมหายใจของเรดมาร์โบโลอันเป็นที่โปรดปรานของอีกคนหนักหนาถูกแทนที่ด้วยความนิ่มหยุ่น สัมผัสนั้นแตะเพียงชั่วครู่ก่อนจะผละห่างออกมา  “ บุหรี่นี่ผ่านปากฉันก่อน ฉันมาเอาคืน ”

 

ริมฝีปากนั่นทาบทับลงมาอีกครั้ง บดเบียดสัมผัสนวลนุ่ม ขัดแย้งกับเรียวมือที่ฟ่อนเฟ้นจากบั้นเอวขึ้นมาจนถึงลำคอ เลื่อนเคลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้า เพียงครู่เดียวที่พวกเขาทั้งคู่สบสายตา บุหรี่เจ้ากรรมก็ถูกทิ้งในที่เขี่ยอย่างน่าสงสาร ส่วนตัวพวกเขาเองก็ย้ายสารร่างไปยังเตียงนอน

 

ร้อนฉ่ายิ่งกว่าเรดมาร์โบโล แต่ก็หวานนุ่มเหมือนรสชาติของเชอร์รี่เคลือบช็อคโกแลต

รสชาติของสองสิ่งที่มีสีเหมือนสีผมของยุนกินั่นแหละ

ช่างแม่งชีวิตบัดซบ ช่างแม่งโลกห่วยๆ รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องได้เสพสมมัน เพราะเขาไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายจะได้รับประสบการณ์แบบนี้อีกหรือไม่

 

สีแดงที่เข้ามาหลอมรวมกับสีฟ้าหม่น ผสมปนเปจนกลายเป็นสีม่วง

เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่เขาปล่อยตัวเองให้ร่วงหล่นลงไปในกระแสธาร นี่คือทะเลความหวานที่จีมินตั้งใจกระโจนตัวเข้าหา

ลึกลงอีก จมลงอีก ให้ชีวิตเลือนละลายไปในท้องทะเลแห่งนี้ด้วยความยินดี

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

ครั้งแรกเลยค่ะที่เขียนคู่นี้ ทั้งที่นี่เป็นคู่แรกๆที่ชิปตั้งแต่ติ่งบังทันแรกๆด้วยซ้ำเลยค่ะ ๕๕๕ พอเห็นจีมผมม่วงก็คิดว่าต้องเขียนแล้วล่ะค่ะ แต่อยากได้อะไรแบบหม่นๆกึ่งเซ็กซี่ๆหน่อยเลยคิดว่าต้องเป็นคู่นี้แน้ววว

ติดแท็กเม้าท์มอย #kwlfic ได้ตามนี้ค่ะ :3