[OS] Monster in the mask (Kylo Ren/Captain Andrew Henry)

Title: Monster in the mask

Pairing: Kylo Ren/Captain Andrew Henry

A/N: อาจมีการสปอยล์เนื้อหาจากภาพยนตร์บางส่วน

 

Monster in the mask

 

ดินแดนแห่งนี้มีแต่สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดถึง..

 

            ปืนกระบอกยาวในมือถูกเล็งค้างไว้เช่นนั้น  คล้ายว่าเรี่ยวแรงที่มีถูกกลืนหายไปเสียหมด แม้เพียงการจะเหนี่ยวไกปืนยังทำได้ลำบาก  ทั้งร่างสั่นเทา.. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศอันเลวร้ายนี้  ..หรือเพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า

 

..ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีใครที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้

 

            ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำย่างสามขุมเข้าใกล้  พร้อมกับยื่นมือออกมาตรงหน้า  ทั้งที่ไม่ได้แตะตัวเจ้าฟิตซ์เจอรัลด์นั่นเลยสักนิด  ทว่าสิ่งที่เจ้าตัวทำนั้นกลับทำให้ฝ่ายคนอวดดีอย่างหมอนั่นหมดท่า

 

            ชายปริศนาผู้นั้นมีพลังบางอย่างที่คล้ายจะเป็นการควบคุมจิตใจ  เรียวมือของไอ้เวรฟิตซ์เจอรัลด์ที่กำลังกุมอาวุธสั่นเทา  ยามเมื่อปลายกระบอกปืนร้อนผ่าวที่เคยเล็งมายังตัวเขาในก่อนหน้ากลับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นโพรงปากฝ่ายเจ้าของปืนเสียเอง โดยที่มันไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด

 

เฮนรี่รู้ว่าอดีตเพื่อนร่วมทีมสำรวจของเขาคนนี้ชั่วช้าเพียงใด  หากแต่การได้เห็นท่าทีหวาดกลัวจนน้ำตาไหลพรากเช่นนั้นก็ย่อมก่อความเวทนาในใจไม่ใช่น้อย.. แทบลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ก่อนหน้านี้มันเคยตั้งใจจะเอาชีวิตเขา  จนกระทั่งชายแปลกหน้าผู้นี้เข้ามาและปัดกระสุนนั่นทิ้งด้วยสิ่งที่คล้ายกับดาบแสง..

 

 

 

ปัง!

 

            ท่ามกลางเสียงชีพจรที่เต้นระรัวในอก  เสียงกึกก้องลั่นขึ้นพร้อมกับหยาดเลือดที่สาดกระเซ็นทั่ว  ร่างของฟิตซ์เจอรัลด์ร่วงหล่น  ของเหลวสีแดงเข้มจากแผลบนศีรษะอาบย้อมพื้นหิมะเป็นวงกว้าง  และแม้จะผ่านการพบเจอความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน  ทว่าในครั้งนี้มันเกินไป

 

ในเมื่อฝ่ายนั้นสามารถทำสิ่งนี้ได้ ..เช่นนั้นแล้วปืนในมือของเขาจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

 

เขาเจอสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่าและชนพื้นเมืองของดินแดนใหม่นี่เข้าให้แล้ว!

 

            ทันทีที่ได้สติ.. เฮนรี่ก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวป่าอย่างไม่คิดชีวิต  ม้าคู่ใจทั้งของเขาและฟิตซ์เจอรัลด์ต่างหนีเตลิดไปนานแล้วจึงต้องพึ่งพาเพียงสองขาของตนเท่านั้น  เขาต้องรีบไปบอกฮิวจ์ให้หนีกลับที่พักกันให้เร็วที่สุด  ..รีบหนีไปจากบุรุษลึกลับผู้มีพลังเหนือมนุษย์นี้

 

แล้วภายใต้หน้ากากแปลกประหลาดนั่นจะเป็นใบหน้าของมนุษย์รึเปล่าก็ไม่อาจรู้

 

            ขาเพรียวพาร่างลัดเลาะตามแมกไม้  ความหวาดหวั่นที่มีทำให้เฮนรี่หลงลืมซึ่งความเหน็ดเหนื่อย  แม้ว่าคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวตนของฝ่ายนั้นลอยวนในความคิดเต็มไปหมด  แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยอะไร

 

 

            ทันใดนั้นเองที่บางอย่างฉุดเข้าที่ข้อเท้าจนร่างล้มลง  ก่อนที่แรงปริศนานั่นจะลากเขาให้เข้าหาบุรุษลึกลับผู้นั้นซึ่งกำลังย่างฝีเท้ามาใกล้อย่างไม่รีบร้อน  สองมือพยายามตะกุยตะกายกับพื้นเย็นเฉียบ  ดิ้นรนหาทางหนี  หากแต่แรงกระชากนั่นมหาศาลจนไม่อาจต้านทาน

 

“ ย.. อย่า.. ”  เฮนรี่ไม่เคยคาดคิดว่าตนเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้  ทั้งที่เขาเป็นถึงหัวหน้าของกลุ่มนักสำรวจ ทว่าสภาพในตอนนี้เขาแทบไม่ต่างอะไรจากเหยื่อที่กำลังร้องขอชีวิตจากนายพราน

 

            เขาคิดว่าชะตาต้องขาดแล้วเป็นแน่เมื่อฝ่ามือกว้างนั่นยื่นตรงออกมาแนบแตะเข้าที่ใบหน้า  เขายังจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟิตซ์เจอรัลด์เมื่อครู่ได้อย่างแม่นยำและคิดว่าตนเองก็คงจะต้องพบกับจุดจบแบบนั้น  ความหวังดับวูบลงเมื่อตระหนักว่าขัดขืนไปก็ไม่อาจรอดได้  ในตอนนั้นเองที่เฮนรี่นึกถึงบ้านเกิดที่ห่างออกไกลฟากสมุทร.. นึกถึงครอบครัวที่จากมา..  

 

หากทว่าสิ่งที่เฮนรี่รู้สึกในเวลาถัดมาหาใช่ความเจ็บปวดทรมาน  กลับเป็นความอบอุ่นชวนให้เคลิ้มหลับ  เรี่ยวแรงจะเขยื้อนขยับพลันลดลงอย่างรวดเร็ว  ขณะที่ห้วงสติบางเบาลงทุกขณะ ..หรือนี่จะเป็นการฆ่ากันด้วยความปราณีอย่างที่สุด?

 

ท่อนแขนแข็งแกร่งค่อยๆตระกองร่างเขาขึ้นมา  สิ่งสุดท้ายที่เฮนรี่ได้ยินก่อนที่ภาพตรงหน้าจะมืดดับลงคือเสียงแหบทุ้มทรงอำนาจนั่น..  มันช่างคุ้นเคยคล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำอันไกลแสนไกล..

.

.

 

            หารู้ไม่ว่าภายใต้หน้ากากรูปทรงประหลาดนั่นกลับปรากฏเป็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของไคโล เรน  ..ใบหน้าที่ไม่ว่าสตอร์มทรูปเปอร์คนใดหรือแม้แต่สโน้คจะได้เห็นมัน  คนเหล่านั้นเห็นเขาเป็นเพียงพวกใจร้อนเจ้าอารมณ์

 

มีเพียงคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เขารู้จักถึงความห่วงใย.. รู้จักถึง.. ความรัก..

 

เรนก้มมองคนที่จวนเจียนจะหมดสติภายใต้อ้อมแขนของตนเอง  คนที่ทำให้เขายอมข้ามห้วงมิติเวลามาไกลถึงขนาดนี้  มันทรมานยิ่งนักที่อีกฝ่ายมองเขาเป็นปีศาจร้าย  ทั้งที่เรนเพียงพยายามจะช่วยชีวิตจากไอ้สารเลวนั่นก็เท่านั้น

 

“ ข้าเสียท่านมาแล้วครั้งหนึ่งท่านนายพล  ข้าจะไม่ยอมเสียท่านไปอีกหนเป็นอันขาด ”

 

 

THE END(ดีมั้ย?)

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

ตอนดู the revenant ครั้งแรกคือพล็อตมาในทันทีเลยค่ะ ๕๕๕๕

ผู้กองสวยดุอย่างเฮนรี่น่าจะมาเจอกับน้องเบียว ฟฟฟฟ แต่นี่หลุดคาร์ไปเยอะหน่อย orz

คือมีพล็อตว่า.. ถ้าเกิดฮักซ์ในจักรวาลสตาร์วอรส์ตายไป แล้วน้องเบียวเลยมาชดใช้ด้วยการดูแลฮักซ์ในโลกอื่น(แล้วแต่ละบทที่คุณโดห์นัลเล่นก็มีแต่ร้าวตับร้าวไต ฮืออออ ;A;)

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ 😀 

[Drabble] Like the last star has died (Kylo Ren/Poe Dameron)

Title: Like the last star has died

Pairing: Kylo Ren/Poe Dameron, Ben Solo/Poe Dameron

Genre:  Angst

A/N: อาจมีการสปอยล์เนื้อหาจากภาพยนตร์บางส่วน

 

Like the last star has died

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะไม่ยอมเอ่ยมันออกไปเด็ดขาด

 

            เบน โซโลสบมองอย่างลึกซึ้งลงในนัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้น  สิ่งที่เขาได้ยินในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเสียงชีพจรที่กำลังบีบรัดอย่างรุนแรงในช่องอก สาเหตุของเสียงเต้นตุบระรัวนั่นหาได้เกิดจากความตื่นเต้นหรือเขินอาย  ..มันเกิดจากความหวาดกลัวต่างหาก 

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะไม่ยอมทำมันเด็ดขาด

 

            ฝ่ามือที่ประคองใบหน้านั่นอีกฝ่ายเอาไว้ในก่อนหน้านี้ค่อยลดระดับลงแล้วละจาก ความอบอุ่นจากสัมผัสนุ่มบนเรียวปากนั่นยังคงติดตรึงอยู่เช่นนั้น  ทั้งที่การตอบสนองของคนตรงหน้าช่างเยือกเย็น แทบไร้ความรู้สึก.. ยิ่งชัดเจนว่าสิ่งที่ตนเองคาดหวังเอาไว้มันผิดพลาดไปหมด

 

“ นายคิดอย่างนั้นกับฉันจริงๆเหรอ? ”   

 

            ท่ามกลางหมู่ดาวเกลื่อนกระจายถ้วนทั่วโค้งขอบฟ้า  สวยราวกับประกายวาววับของอัญมณีทั้งที่มันเป็นเพียงเศษหินที่กระจัดกระจายทั่วอวกาศ  ความจริงข้อนั้นยังไม่น่าเศร้าใจเท่ากับแสงแห่งความหวังในใจที่กำลังดับวูบ และคนที่ทำลายมันก็ไม่ใช่ใครอื่น..

 

โพ ดาเมร่อน.. นักบินฝึกหัดคนเก่งแห่งฝ่ายต่อต้าน

 

“ เจไดมีความรักไม่ได้หรอกนะ ”

 

เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่คนข้างกายเอ่ยออกมา ดึงสติของเขาให้ยิ่งถลาลึกสู่ความเจ็บปวด

 

“ ถ้าอย่างนั้นนายมาทำให้ฉันรู้จักมันทำไม ”

.

.

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะยอมเอ่ยมันออกไปอย่างไม่รีรอ

 

            เรือนร่างที่บอบช้ำจากการถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบหมดเรี่ยวแรงจะดิ้นรนขัดขืน  ยอดนักบินแห่งฝ่ายต่อต้านทำได้เพียงหายใจแผ่วบนเก้าอี้เหล็กที่พวกมันจับเขามาทรมาน  ความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาอีกครั้งเมื่อประตูนั่นเปิดออก  ทว่าคราวนี้คนที่เข้ามาไม่ใช่พวกสตอร์มทรูปเปอร์หรือคนในเครื่องแบบ

            แต่เป็นไคโล  เรน..

 

หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาจะยอมทำมันอย่างที่ใจต้องการ

 

            โพไม่เคยเอ่ยบอกความรู้สึกของตนที่มีให้อีกฝ่ายรับรู้  เขาต้องเก็บซ่อนมันไว้ในเบื้องลึกของจิตใจมาตลอดหลายปี เพราะกลัวความรักซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของเจไดจะเปลี่ยนแปลงคนตรงหน้าให้เข้าสู่เส้นทางมืดมิดและกลายเป็นปีศาจร้ายไปตลอดกาล

 

“ เบน..

 

“ นั่นไม่ใช่ชื่อข้าอีกแล้ว ”

 

“ เบน.. ได้โปรด ”

 

“ แผนที่ตามหาลุค สกายวอล์คเกอร์อยู่ที่ไหน? ”

 

            น้ำเสียงทรงอำนาจภายใต้หน้ากากเอ่ยคำถามเดียวกันกับที่เขาได้ยินมาตลอดในช่วงที่ถูกทรมาน  โพปิดปากเงียบไม่ยอมตอบเฉกเช่นทุกครั้ง  จนกระทั่งไคโล เรนเลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งมาตรงหน้า  ใช้พลังลึกลับที่ฝ่ายนั้นมีฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้นได้จากภายใน ..เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าการทารุณกรรมครั้งอื่นหลายเท่าตัว

 

แต่ก็ไม่มีอะไรจะเจ็บยิ่งกว่าการที่เขาไม่มีวันได้ เบน โซโล กลับคืนมาอีกแล้ว..

 

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

ก็แบบ.. *เขี่ยพื้น* ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  ชิปคู่นี้ตั้งแต่ไปดูในโรงครั้งแรกเลยค่ะ 

แล้วบังเอิญได้อ่านคอมมิค Journey to TFA: Shattered Empire (แนะนำให้หามาอ่านมากค่ะ) ก็เลยได้รู้ว่าพ่อแม่ของโพรู้จักกับฮานเลอาค่ะ  ทีนี้ก็จินตนาการไปไกลเลย ๕๕๕๕

 

มาขึ้นเรือนี้กันเยอะๆนะก๊ะ อิ___อิ

[Drabble] So far gone (Han Solo/Luke Skywalker)

Title: So far gone

Pairing: Han Solo/Luke Skywalker

Genre: Hopeless romance, Angst

Author: KuNgWoN

A/N: อาจมีการสปอยล์เนื้อหาจากภาพยนตร์บางส่วน

 

So far gone

 

ฮานรู้สึกถึงมันเฉกเช่นเดียวกันกับที่พวกเจไดรู้สึกถึงพลัง..

 

รู้สึกถึงมันทุกครั้งยามเมื่อสบมองนัยน์ตาคู่นั้น..  สีฟ้ากระจ่างเหมือนผืนน้ำกว้างใหญ่ที่เขาเคยพบเจอในดวงดาวอันแสนไกล 

รู้สึกถึงมันทุกครั้งยามเมื่อวางมือลงบนกลุ่มผมสีอ่อน.. ขยี้ความนุ่มนิ่มที่แทรกผ่านปลายนิ้วเหล่านั้นมาด้วยความเอ็นดู  ก่อตัวเป็นกระแสบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นพล่านไปทั่วร่าง..

รู้สึกถึงมันทุกครั้งยามเมื่อเราจูบกัน.. ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่เขาแนบแตะความโค้งนุ่มนั่นอย่างละเมียดละมุนหรือคราวที่เขาบดเบียดมันอย่างตะกรุมตะกราม

 

ฮานรู้สึกถึงมันทุกครั้ง..

รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า.. ความรัก

 

 

ทว่าความรักเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเจได..

            ความรักเป็นแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้เรายึดติด และครวญคร่ำร่ำไห้เมื่อถึงคราวต้องปล่อยทิ้งมันไป รักทำให้หัวเราะแล้วร้องไห้  ทำให้สุขสมล่องลอยแล้วเฆี่ยนตีกันอย่างเจ็บปวด

            เราจะนึกถึงเพียงสิ่งเดียวคือการมีอยู่ของกันและกันในอนาคต  และหวาดกลัวจะสูญเสียมันไปจนต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้  ท้ายที่สุดความรักจะผลักไสเราให้พ้นจากการนึกคิดถึงความถูกต้อง  เข้าสู่เส้นทางมืดดำและไม่อาจกลับมาสู่แสงสว่างได้อีกเลย

            เฉกเช่นเดียวกับที่มันเคยเกิดขึ้นกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์หรือดาร์ธ เวเดอร์มาก่อน..

 

นั่นแหละอันตรายของความรัก.. ฮานไม่อยากให้ลุคกลายเป็นเหมือนฝ่ายบิดา

เราจึงถอยห่างกันออกมาคนละก้าว.. ห่างจนคิดว่าเราจะปลอดภัยพอ

ทั้งที่อยากก้าวเข้าไปหาแทบขาดใจ..

 

เขาคิดถึงลุคเหลือเกิน..

คิดถึงหลายครั้งหลายคราวที่เราต่างร่วมผ่านการผจญภัยและภารกิจเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน

คิดถึงรอยยิ้มสว่างไสวเสียยิ่งกว่าแสงจัดจ้าในช่วงเวลาเที่ยงวันบนดาวทาทูอีน  รอยยิ้มที่เห็นทีไรก็ทำให้ฮานยังคงมองลุคเป็นเจ้าเด็กบ้านไร่ไร้เดียงสาคนนั้นอยู่เสมอ

คิดถึงน้ำเสียงที่เจ้าตัวใช้โต้เถียงกับเขาบ่อยครั้ง  หากแต่มันกลับน่าฟังและให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งกว่าดนตรีในสถานบันเทิงที่เมืองท่าอวกาศเสียอีก

 

คิดถึงจนอยากออกไปตามหาอีกฝ่ายในตอนนี้  ทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดและคงไกลยิ่งกว่าไกลจากที่แห่งนี้

 

“ ไปอยู่ที่ไหนกันนะ  เจ้าหนู ฉันคิดถึงนายจะแย่แล้ว ”

 

 

ค่ำคืนนั้นฮานได้กอดร่างของลุคไว้จนแน่น.. ในจินตนาการของตนเองเท่านั้น

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

มาถึงจุดนี้ได้ยังไง………. *สะอึกสะอื้น*

ด้วยความที่ไม่เจอฟิคไทยคู่นี้เลยค่ะ ส่วนใหญ่เจอแต่รุ่นพ่อ (สงสัยคู่ลูกคงเก่าไป ๕๕๕)แล้วพล็อตนี้รบกวนหัวอยู่หลายวัน เลยแต่งเองมันซะเลยค่ะ

เราเชื่อว่าหลายคนก็มีชะตากรรมเดียวกับเราค่ะ  ย้อนดูแล้วคุณต้องปิ๊งกับเคมีคู่สกายโซโล  ไม่รอดสักราย กร๊ากกก   สาบานได้ว่านี่ไม่เคยดูสตาร์วอรส์มาก่อนในชีวิตจริงๆนะคะ  จนกระทั่งเห็นว่าภาค ๗ กำลังจะมาเลยย้อนไปดูหกรวดเพื่อความเข้าใจ สุดท้ายก็.. ค่ะ.. หาทั้งคอมมิคทั้งมังงะอ่านจนเป็นแทรชอย่างสมบูรณ์ ๕๕๕๕๕

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  ขอพลังจงสถิตอยู่กับคุณค่ะ =v= *ทำมือวัลแคน— #เดี๋ยว*

[Translated Fiction] – Nothing to forgive (Thranduil/Legolas)

 

Title: Nothing to forgive 

Pairing: Thranduil/Legolas

Genre: Father/Son-Incest

Original: Nothing to forgive

Warning: อาจมีการสปอยล์เนื้อเรื่องภาพยนตร์เล็กน้อย

 

Nothing to forgive

 

“ เลโกลัส แม่ของเจ้ารักเจ้า.. เหนือสิ่งใดในชีวิตนาง ”

 

            ยุพราชพรายยินฟังคำตรัสจากผู้เป็นบิดา  หากทว่าห้วงมโนสำนึกไม่อาจเข้าถึงมัน  นั่นอาจเป็นเพราะองค์ธรันดูอิลมิเคยกล่าวถึงราชินีของตน  เลโกลัสก็เช่นกัน.. หาได้รู้ถึงสถานที่ไว้ระลึกความเศร้าโศก เนื่องด้วยไม่มีแม้แต่หลุมพระศพ  ทั้งยังมิเข้าใจด้วยว่าเป็นเพราะเหตุใดฝ่ายบิดาจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงอีกเลยนับตั้งแต่นางสิ้นชีพ

            ทว่าสิ่งที่ทำให้เลโกลัสตกตะลึงยิ่งกว่านั้นเมื่อยามผินพักตร์กลับไปมองคือภาพของอัสสุชลที่ร่วงหล่นบนวงหน้าผู้เป็นราชันย์พราย  เขามิเคยเห็นบิดาร่ำไห้หรือแสดงซึ่งความอ่อนแอออกมาเลยสักครั้ง  แม้ในความคิดของยุพราชพรายแล้วการร้องไห้นั้นหาใช่ความเปราะบาง  เพราะนั่นต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่งที่จะปล่อยผ่านและไม่ใส่ใจต่อกระแสเสียงของผู้อื่น

            อย่างไรก็ตามแต่.. เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าผู้เป็นบิดามิอาจเผยถึงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาได้.. ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์

 

            องค์ธรันดูอิลมองร่างบุตรชายผ่านความพร่าเบลอของหยาดน้ำ  มีหลายสิ่งที่นึกอยากจะเอื้อนเอ่ย  ทว่าไร้ซึ่งคำพูดใดถูกกล่าวออกมา  เหลือเพียงหยาดน้ำตาที่ยังคงร่วงริน สรรพสิ่งรอบกายคล้ายจะแหลกสลาย วรองค์สูงใหญ่ที่เคยแสดงถึงความทรงอำนาจและแข็งกร้าวนั้นหักพังลงเสียแล้ว เขาคงไม่นึกจะใส่ใจหากมีใครบังเอิญผ่านเข้ามาแล้วพบเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

            กษัตริย์พรายล่องลอยในห้วงคำนึงของตนจนมิทันสังเกตว่าผู้เป็นบุตรเยื้องกรายเข้าใกล้  กระทั่งเมื่อสัมผัสแผ่วจางจากปลายนิ้วแตะลงบนผิวปราง  ธรันดูอิลจึงตระหนักว่าระยะห่างระหว่างอีกฝ่ายกับตนนั้นใกล้ชิดกันเพียงใด

 

“ อดา.. ” เลโกลัสเอ่ยเรียกเสียงกระซิบ  เรียวหัตถ์ประคองพักตร์ฝ่ายบิดาหวังให้มองกัน  แรงสะอื้นที่เขารู้สึกแทบขยี้ห้วงหัวใจให้แหลกลาญ  แทบมิหลงเหลือเค้ากษัตริย์พรายผู้เพียบพร้อมเอาเสียเลย ..นัยนาแดงก่ำ  ผิวปรางอาบแต้มด้วยคลองอัสสุชล  เรียวโอษฐ์สั่นระริกถอดถอนเสียงสะอื้นพร่าเครือ

 

            เลโกลัสนึกอยากจะปัดเป่าเอาความปวดร้าวเศร้าโศกนั้นไปจากจิตใจของผู้เป็นบิดายิ่งนัก ..เขาจักยอมทำทุกวิถีทาง  เพราะกษัตริย์ธรันดูอิลที่ไร้ซึ่งความโศกนั้นเป็นดั่งโลกทั้งใบของเขา

 

เลโกลัสเอ่ยเรียกอีกครั้งหนึ่ง  “ อดา.. ” หวังให้บิดาตอบสนองด้วยการกระทำอื่นนอกเสียจากเอาแต่สบมองเขาเช่นนี้  ทันใดนั้นเองที่ธรันดูอิลรั้งร่างเลโกลัสมาไว้ในอ้อมแขน  ร่ำไห้อีกหนที่หนักหน่วงกว่าเก่า  ครวญคร่ำเพียงว่า  “ ข้าขอโทษ เลโกลัส  ได้โปรด.. ให้อภัยข้าด้วย ”  ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

            สำหรับเลโกลัสแล้ว.. มิมีสิ่งใดที่ต้องกล่าวขออภัยกัน  ไม่.. เขาไม่ได้เอ่ยออกไปหรอก  สิ่งที่ยุพราชพรายต้องการก็มีเพียงแต่อ้อมกอดอบอุ่นจากผู้เป็นบิดาก็เท่านั้น  แม้จะมิควรเป็นการใกล้ชิดกันท่ามกลางความรู้สึกหักพัง  ทว่าเขาก็ยินดีจะรับมันอย่างถึงที่สุด

            เนิ่นนานยิ่งนักที่ตนมิได้รับสัมผัสความรักเช่นนี้นับตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นพรายตัวน้อย ..เขาคิดถึงมันเหลือเกิน  ถึงจะใคร่สงสัยมาโดยตลอดว่าเหตุใดผู้เป็นบิดาจึงเปลี่ยนไป  ทว่าก็มิเคยเอ่ยถาม

 

            สองพรายไพรต่างมิรู้ว่าตนเองยืนอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนานเท่าไหร่  ภายใต้อ้อมกอดของกันและกันประหนึ่งว่าจะถ่ายทอดความโศกสลดที่เป็นมา  จนท้ายที่สุดแล้วเสียงสะอื้นก็เริ่มสงบลง ธรันดูอิลจึงค่อยละพักตร์จากลาดไหล่ของบุตรชายขึ้นมา  ขณะนั้นเองที่ตนครุ่นคิดด้วยความอับอายกับการพรั่งพรูทางอารมณ์เมื่อครู่  หากแต่เขาเลือกที่จะปล่อยวางมัน

            ก่อนที่รอยยิ้มบางเบาจะปรากฏบนวงหน้า ..เช่นเดียวกันกับเลโกลัส

 

“ เจ้าจะอภัยให้ข้าได้หรือไม่?  เลโกลัส.. ” ความเว้าวอนที่แทรกสอดมาในกระแสเสียงไม่ต่างจากภายในแววเนตรนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าองค์ธรันดูอิลจริงจังต่อเรื่องนี้เพียงใด ..เพื่อขอการอภัยจากเลโกลัสในความผิดพลาดทั้งหมดที่ตนกระทำมาในอดีต

 

“ ท่านพ่อ.. ” เลโกลัสเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงสงบนิ่ง  “ ไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องให้อภัยกันเลย ” ยุพราชพรายประคองปรางนวลของอีกคนไว้ในหัตถ์  ปลายนิ้วเกลี่ยวนหยาดหยดแห่งความโศกาที่ยังคงหลงเหลืออยู่

 

“ แต่ว่า.. ” และก่อนที่กษัตริย์พรายจะตรัสสิ่งใดต่อจากนั้น เรียวโอษฐ์ก็พลันถูกทาบทับจากผู้เป็นบุตร  ความตื่นตะลึงแผ่ซ่านจนยามเมื่อเลโกลัสผละออกห่าง  ต่างฝ่ายสบลึกยังนัยน์เนตรของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง  ไร้ซึ่งคำพูดใด หากทว่าก็ต่างเข้าใจกันอย่างง่ายดาย

 

“ ไม่มีแต่นะท่านพ่อ ” ยุพราชพรายแย้มยิ้ม น้ำเสียงแสดงถึงการไม่ยอมรับหากบิดาจะเริ่มต้นบทสนทนาถึงเรื่องนี้อีกหน  “ กลับบ้านเรากันเถิด  ข้าอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ข้ามากกว่านี้  ท่านจะเล่าถึงนางให้ข้าฟังได้หรือไม่? ”

 

กษัตริย์พรายยอมจำนน  นัยนาอ่อนจางลงก่อนจะพยักหน้าตกลง  ทรงรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นบุตรย่อมมีอิทธิพลต่อตนเองเสมอ  “ ได้สิ ข้าจะบอกทุกอย่างในสิ่งที่เจ้าอยากรู้ ”

 

ทั้งคู่ตามหาพรายตนอื่นที่ร่วมทัพมาเพื่อกลับยังแดนไพร ..สถานที่ซึ่งอีกด้านชีวิตหนึ่งของกษัตริย์พรายทั้งสองจะเริ่มต้นขึ้น

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

เลือกแปลของคุณคนนี้เพราะเด็จป๊าไม่เหมือนเรื่องอื่นเลย  คือเรื่องอื่นๆสำหรับคู่นี้จะแนว asshole Thranduil มากๆค่ะ ๕๕๕๕ (แต่เราก็ชอบอยู่ดี -.,-)

แต่เรื่องนี้มันละมุนๆในความขมอ่ะค่ะ  ราชาเอลฟ์ก็ร้องไห้ได้ไรงี้

อีกอย่างคือชอบฉากนี้ในเรื่องมาก  น้ำตาแทบคลอเลย ;A; 

One Shot: Wasted Love (Loki/Legolas)

Title: Wasted Love

Pairing: Loki/Legolas  

Genre:  Hurt/Comfort

 

Wasted Love

 

            จันทราแจ่มกระจ่างทอแสงนวลหยอกล้อกับระลอกคลื่นของผืนน้ำเบื้องล่างที่ม้วนเกลียวตามแรงลมอ่อนเอื่อย  ความอ่อนหวานจากมวลหมู่บุปผชาติแห่งพนาไพรอวลกระจายทั่วอาณาบริเวณ  ทุกสรรพสิ่งรอบกายในขณะนี้ล้วนตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความสงบนิ่ง.. ช่างผิดจากความว้าวุ่นที่เขาเป็นอยู่ยิ่งนัก

            สองเท้าเปล่าเปลือยเหยียบย่ำตามพื้นดินอ่อนนุ่ม  เรียวมือแหวกแยกกิ่งก้านแห่งพฤกษาไพรไปตามทาง  บุตรแห่งธรันดูอิลสบมองความเวิ้งว้างกว้างใหญ่เบื้องหน้า  นัยน์เนตรสีไพลินโศกสลด.. ก่อนจะเลื่อนมองเงาร่างของตนเองที่ทาบทับบนผืนน้ำ

 

..เขาไม่อาจทัดเทียมดาราสนธยาผู้นั้นได้เลย..

 

            ความเดียวดายอ้างว้างเกาะกุมเมื่อจอมพรายหวนนึกถึงวงหน้าคร้ามเข้มของผู้ซึ่งเคยร่วมเดินทางในการทำลายธำมรงค์  เลโกลัสเอนกายอ่อนล้าแนบพิงกับลำต้นแข็งแกร่ง  ริมฝีปากถอนเสียงสะอื้นขื่นขม  ปลายเท้าแหวกย่ำลงกับวารีเย็นฉ่ำ.. ราวจะต้องการทิ้งให้ความเจ็บปวดร้าวรานดำดิ่งภายในนั้น.. ความเจ็บปวดที่ไม่อาจมีผู้ใดได้รับรู้มัน

 

..โอ้.. ท่านเทพวาลาร์.. หากท่านจักดลบันดาลให้เขารักข้าเพียงสักนิด..

 

            ชายผู้นั้นมีหลากหลายนามยิ่งนัก  หากแต่เลโกลัสกลับชื่นชอบ เอสเทลมากเป็นที่สุด  ซึ่งแปลว่าความหวังในภาษาของพราย  ทว่าในบัดนี้ความหวังของเขานั้นหักพังและแตกร้าวเสียแล้ว เหลือเพียงกษัตริย์เอเลสซาร์ผู้ภักดีในรักต่อดาราสนธยาเท่านั้น.. ทิ้งให้ใจดวงน้อยนี้มอดไหม้ไปกับเพลิงสวาทที่ลุกโหมครั้งแล้วครั้งเล่า

 

จอมพรายล่วงรู้ดีว่าสิ่งที่เขารู้สึกต่อฝ่ายนั้นเป็นเรื่องผิดอย่างมหันต์  ทว่าเขาก็ไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้..

 

 

“ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องตรอมตรมขนาดนั้น?  เจ้าใบไม้เขียว ”

 

            สุรเสียงจากอาคันตุกะปริศนาทำเอาบุตรแห่งกษัตริย์พรายสะดุ้ง  ความหวาดระแวงถูกปลุกขึ้นแทนที่ความหมองหม่นที่เป็นอยู่เมื่อครู่  หัตถ์แบบบางกระชับลูกธนูและคันศรคู่กายแน่น  พร้อมต่อการสู้รบหากว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดี  น่าประหลาดใจยิ่งนักที่เลโกลัสไม่อาจรับรู้ถึงการมาเยือนของฝ่ายนั้นตั้งแต่เริ่ม  ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า.. ทั้งที่โสตแห่งเผ่าพันธุ์พรายนั้นเป็นเลิศ

 

            วรองค์สูงเพรียวหากแลดูสง่างามนั้นเยื้องกรายเข้าใกล้  แสงนวลเลือนรางเนื่องด้วยจันทราเอียงอายหลบหลังม่านเมฆต้องลงบนวงหน้าสลักเพียงเล็กน้อย  ทว่านั่นก็เพียงพอแก่การมองเห็นอย่างชัดเจนสำหรับเลโกลัสแล้ว  นัยน์เนตรกลมโตคู่นั้นราวจะเชิญชวนให้แหวกว่ายในทะเลมรกต.. งดงามและทรงอำนาจไม่แพ้ผู้เป็นบิดาเสียเลย

 

ดั่งต้องมนตร์สะกด.. เรียวมือที่ประคองอาวุธอยู่สั่นเทาเล็กน้อย ก่อนที่สิ่งของทั้งสองอย่างจะหลุดร่วงลงยังพื้นดินข้างตัว  เบื้องบาทาพลันก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว

“ ท.. ท่านเป็นใคร?  รู้นามข้าได้อย่างไร? ”

 

“ ชู่วว์.. ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า ” อาคันตุกะผู้นั้นกลับไม่ตอบคำถาม  เอื้อมหัตถ์แตะปลายนิ้วไล้ตามความคดโค้งของเรียวโอษฐ์นุ่ม  ยุพราชพรายนิ่งงัน  ไม่อาจหาญจะเขยื้อนกายแม้เพียงนิด  สองหูอื้ออึงโดยพลัน.. ยินเพียงเสียงชีพจรที่ดังก้องระรัวในอก 

 

สัมผัสแผ่วจางเลื่อนขึ้นมายังผิวปรางชื้นแฉะเนื่องด้วยอัสสุชลแห่งความโศก  เกลี่ยวนอย่างอ่อนโยน  “ งดงามยิ่งนัก ”  ก่อนจะทัดเอากลุ่มเกศาสีจางไว้หลังใบหูแหลมเรียว  นัยนาสีมรกตจับจดเล็งแลราวจะเพ่งพิศทุกห้วงอณู  “ ไม่ควรคู่กับความเศร้าโศกเอาเสียเลย ”

 

จอมพรายมิอาจสรรหาคำพูดมาเอื้อนเอ่ย  ความร้อนรุ่มเกาะกุมบนผิวพักตรา  ไม่คุ้นชินกับการกล่าววาจาชื่นชมความงามกันต่อหน้าเช่นนี้   “ เจ้าควรจะตัดใจได้เสียที  เจ้าใบไม้เขียว ”

 

“ ธิดาพรายผู้ภักดีในรัก  ยอมสละซึ่งอายุขัยอันเป็นอมตะเพื่อจะได้ครองคู่กับมนุษย์.. ราชันย์ยิ่งใหญ่แห่งมหาอาณาจักร  ช่างเหมาะสมกันดียิ่งนัก  เจ้าว่าหรือไม่? ”

 

“ ข้ารู้.. ข้ารู้.. ”  สุรเสียงแห่งยุพราชพรายแผ่วกระซิบ  ถ้อยคำอันกล่าวอย่างเย้ยหยันเหล่านั้นราวคมดาบที่เชือดเฉือนให้ดวงใจขาดห้วงเป็นแล่นริ้ว

 

“ เจ้าพรานพเนจรผู้โง่เขลา.. ก็หารู้ถึงความรักที่เจ้ามอบให้มาโดยตลอด  มันเป็นเพราะความขลาดกลัวของตัวเจ้าเอง ”

 

เดือนดาราหม่นแสงราวจะปลอบประโลม เป็นอีกครั้งที่ยุพราชพรายไม่อาจห้ามปรามความเศร้าโศกที่เข้าครอบครองนัยนา.. ในวาจาอันเกินจะยอมรับ   “ พอเถิด.. พอเสียที..

 

“ ธรันดูอิลต้องทรงกริ้วเป็นแน่ หากรู้ว่ามีคนทำให้เจ้าคร่ำครวญเช่นนี้ ”  เทพมุสาแนบหัตถ์อบอุ่นลงกับผิวแก้มเย็นยะเยือก  “ ข้าริษยาเจ้ายิ่งนักที่อย่างน้อยผู้เป็นบิดาก็ยังเฝ้ารักและห่วงใย ..ไม่เหมือนข้า ”  น้ำเสียงแทรกด้วยริ้วเศร้าสลดอย่างมิอาจปกปิด

 

            ทันใดนั้นเองที่ปลายยอดคทาถูกยื่นออกมาตรงหน้า  แสงสว่างจ้านั่นหาได้นวลตาเฉกเช่นจันทรา  เลโกลัสเบือนพักตร์หนีเนื่องด้วยมิอาจทน  กระทั่งว่ายอดแหลมโค้งแตะลงที่กลางอก  ความรู้สึกประหลาดพวยพุ่งทั่วร่างแม้จะถูกกั้นด้วยภูษาชั้นหนาแล้วก็ตาม  คล้ายมีกระแสธารเย็นฉ่ำชะล้างทุกสิ่งในห้วงคำนึง

 

“ ข้าทำเพราะไม่อยากให้เจ้าทุกข์ทรมานหรอกนะ  เลโกลัส..

 

 

นัยน์เนตรสีครามหม่นปราศจากประกายรับรู้ใดในขณะนั้น  ลืมเลือนซึ่งความรักซึ่งเคยมอบแก่อดีตพรานไพรผู้นั้นจนหมดสิ้น..

 

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 

TALK TO WRITER:

มันคือฟิควูบบบ วูบจริงวูบจัง  ไม่เคยคิดจะจับคู่นี้มาแต่งเลยจริงๆนะ

แต่พอหนังเรื่องขุ่นแม่มาลีเข้า อยู่ๆคู่นี้ก็ลอยมาในหัวอัตโนมัติ(ถึงแม้เลโกะจะไม่ได้โลกสวยเหมือนออโรร่าก็เถอะ ๕๕๕)

ก็ไม่ค่อยดูเป็น couple เท่าไหร่หรอกเนอะ ซึ่งก็คงไม่เข้าเท่าที่ควร ;3;

[The Hobbit OS] – Tea time with the dragon (Smaug x Bilbo)

Title: Tea time with the dragon

Pairing: Smaug & Bilbo

A/N : ระวังมันสั้นและไม่มีสาระ

 

Tea time with the dragon

 

            เปลวเพลิงขนาดเล็กเริงระบำ ณ ปลายยอดของเชิงเทียนลายมังกรซึ่งถูกประดิษฐ์มาอย่างปราณีต.. คล้ายกับว่ากองเพลิงไหววูบนั่นกำลังพวยพุ่งจากปากของเจ้าปีศาจขนาดยักษ์  ถัดกันไม่ไกลนั้นเอง.. ม่านควันขาวก็กำลังลอยอ้อยอิ่งเหนือถ้วยกระเบื้องชั้นดี  กลิ่นอ่อนละมุนของน้ำชาภายในนั้นชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก

 

“ ทาร์ตแอปเปิ้ลครับ  คุณแบ๊กกิ้นส์ ”

 

“ ข.. ขอบคุณ.. ครับ.. ”  บิลโบ้กล่าวตอบรับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  ความหวั่นเกรงปรากฏภายใต้นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาอย่างชัดเจน  เขารับจานขนมหวานมาวางไว้ตรงหน้า  หวาดกลัวเหลือเกินว่าจะมีสัตว์ร้ายตามตำนานโผล่มาเมื่อไหร่ไม่รู้

 

            ช้อนเงินลายสลักสะท้อนแสงเทียนวาววับจรดลงบนชิ้นเนื้อขนม  ก่อนจะตักมันเข้าปากอย่างเชื่องช้า  แท้จริงแล้วบิลโบ้ควรจะมีความสุขกับการได้ละเลียดขนมและน้ำชาเลิศรสมากกว่านี้   มันชวนให้เขานึกถึงโต๊ะอาหารในโพรงฮอบบิทอันแสนอบอุ่นที่จากมา  ทว่ามวลความอึดอัดที่กระจายโดยรอบนั้นไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก.. และสาเหตุก็มาจากคนตรงหน้านี้เอง..

            บิลโบ้ลอบมองบุคคลที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้สุดฟากฝั่งหนึ่งของโต๊ะตัวยาวแล้วครุ่นคิด.. ว่าเหตุใดฝ่ายนั้นจึงมาอาศัยอยู่ในสถานที่รกร้างซึ่งใครต่อใครก็มิอาจหาญจะเข้าใกล้อย่างเอเรบอร์แห่งนี้    เขาใคร่จะรู้มันยิ่งนัก.. ทว่าความน่าเกรงขามและทรงพลังที่เขาสัมผัสถึงจากอีกคนนั้นทำให้เป็นต้องพับเก็บเอาความสงสัยนั้นไว้อย่างเงียบเชียบ

 

“ ทาร์ตแอปเปิ้ลไม่อร่อยหรือครับคุณแบ๊กกิ้นส์? ”  ชายร่างสูงโปร่งเอ่ยถามแขกผู้มาเยือนเนื่องด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนที่ฝ่ายนั้นแสดง

 

“ ม.. ไม่ใช่หรอกขอรับ  ที่จริงขนมของท่านอร่อยดีทีเดียว  เพียงแต่ว่า.. ”  ฮอบบิทตัวน้อยกวาดสายตามองรอบ  “ ที่นี่ไม่มี  เอ่อ.. มังกรหรือขอรับ? ”

 

กระแสบางอย่าปรากฏขึ้นในนัยน์ตาคู่นั้นทันทีที่ได้ยินคำถาม  ทว่ามันเป็นช่วงเวลาแสนสั้นที่บิลโบ้ไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน  ก่อนที่รอยยิ้มเป็นมิตรจะคลี่กระจายบนใบหน้าของร่างสูงโปร่ง

“ กระผมก็อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เห็นจะมีมังกรสักตัว ”

 

“ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีหน่อย  ข้าจะได้ตามหามันง่ายๆ ”

ฮอบบิทตัวน้อยนึกโล่งใจ..  เป็นไปได้ว่าเจ้าสม็อกอาจเดินทางไปยังดินแดนอื่นหรือไม่ก็สิ้นชีพไปแล้วทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้  อย่างไรก็ตามแต่.. นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวที่ไร้ซึ่งวี่แววของมังกรชั่วร้ายตามอย่างตำนานที่เล่าขานกันมา  เขาจะได้จบสิ้นภารกิจหัวขโมยนี้แล้วคืนสู่โพรงฮอบบิทบ้านเกิดเสียที

 

“ คุณแบ๊กกิ้นส์ตามหาสิ่งใดกัน? ”

 

“ ข้ามาหาหัวใจแห่งขุนเขา  เพชรที่ชื่ออาร์เคนสโตน  ไม่แน่ว่าท่านอาจเคยพบเห็นมันบ้างแล้ว ”  บิลโบ้กล่าวตอบเพียงเท่านั้น  ก่อนจะจรดเรียวปากกับขอบถ้วยกระเบื้องเพื่อลิ้มรสน้ำชาอีกครั้งหนึ่ง   “ พวกเพื่อนคนแคระของข้าอยู่ข้างนอกนั่น  ข้าต้องไปแจ้งพวกเขาว่าที่นี่ไม่มีมังกรแล้ว ”

 

โดยที่บิลโบ้ไม่รู้เอาเสียเลยว่าตนเองกำลังคิดผิดอย่างมหันต์..

 

            ดวงเนตรสีเขียวอ่อนเจือน้ำเงินคล้ายดั่งอัญมณีเลอค่านั้นทอประกายวาววับ  ..กษัตริย์คนแคระพลัดบัลลังก์ตนนั้นย้อนกลับมาทวงเอาเพชรเม็ดงามแห่งอาณาจักรเอเรบอร์อย่างที่เขาคาดคิดไว้ไม่มีผิด  ทว่านั่นยังไม่น่าสนใจเท่ากับเจ้าฮอบบิทตัวน้อยที่นั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตรงหน้านี้  ..ปลุกปั่นความปรารถนาของเขาให้พลุ่งพล่านได้ดียิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆเสียอีก

            หารู้ไม่ว่าภายใต้กองเหรียญทองและอัญมณีที่ทับถมกันอย่างมหาศาลนั่นมีซากกระดูกของบรรดาผู้ที่เข้ามาท้าทายอำนาจสม็อกถูกฝั่งเต็มไปหมด.. ทว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีกระดูกของเจ้าตัวจ้อยปะปนอยู่ในนั้น  เนื่องด้วยสิ่งที่สม็อกปรารถนาจากฝ่ายนั้นหาใช่รสชาติจากก้อนเนื้อ

 

            มังกรในร่างแปลงลุกขึ้นจากเก้าอี้  ตรงไปจัดแจงผลไม้หลากชนิดลงในตะกร้าสาน  อีกด้านหนึ่งของแผ่นหลังกว้างกำยำและกลุ่มผมหยักศกสีเข้มนั่น  บิลโบ้หาได้รับรู้ถึงนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีอำพันสุกใส  ประกายตรงกลางเล็กหรี่คล้ายดั่งเนตรของอสรพิษร้าย และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า

.

.

 

“ ดีจริง.. กระผมไม่ได้ต้อนรับแขกเยอะๆเช่นนี้มานานแล้ว ”

 

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

สั้นมากใช่มั๊ยคะคุณผู้อ่าน? ๕๕๕๕

แอบปาดเหงื่อกับฟิคนี้ไม่เบาเพราะไม่ได้แตะงานพีเรียดมานานมาก

หวังว่าคงไม่แย่เกินควรนะคะ แฮร่ ;w; 

[Ficlet] What does it mean? (Noh-Varr/Tommy)

Title: What does it mean?

Pairing: Noh-Varr/Tommy Shepherd

Genre: fluff

 

What does it mean?

 

โนห์วาร์มักทำอะไรให้เขาประหลาดใจอยู่เสมอ..

 

            ในตอนนี้ก็เช่นกัน.. สองร่างแผ่กายบนหลังคายวดยานอวกาศที่จอดนิ่งสนิท ณ ลานกว้างแห่งหนึ่งในแถบชานเมือง  ห่างไกลจากผู้คน.. ห่างไกลจากความวุ่นวายทั้งหมดที่เคยพานพบ บรรยากาศรายล้อมสงบเสียจนเขาอยากอยู่ตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะได้

            สิ่งหนึ่งที่เชื่อมคนทั้งคู่เอาไว้คือสายหูฟังที่ต่างใช้งานกันคนละข้าง  บทเพลงที่กำลังดำเนินอยู่นั้นมันดูเก่าเสียจนทอมมี่แอบคิดว่านี่อาจเคยเป็นเพลงโปรดของอีริคเลยก็เป็นได้ เขาคงไม่คิดจะฟังมันด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะโนห์วาร์..

 

ไม่ว่าใครก็ย่อมมีข้อยกเว้นให้กับคนสำคัญของตนเองทั้งนั้น..

 

ทอมมี่เลื่อนศีรษะขึ้นมาแนบลงแผ่นอกของอีกฝ่าย โนห์วาร์ที่เหมือนจะงีบหลับไปแล้วครู่หนึ่งแล้วจึงรู้สึกตัว หนุ่มชาวครีเลื่อนฝ่ามือละไล้ตามกลุ่มผมนุ่มนั่นอย่างนึกเอ็นดู

 

“ ฮาลา..

 

            อีกครั้งแล้วที่ฝ่ายนั้นเรียกเขาด้วยคำนั่น  มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทอมมี่ไม่เคยรู้ถึงความหมายของมันมาก่อน เขารู้เพียงแต่ว่านั่นคงเป็นคำในภาษาของชาวครี จะให้ไปถามเท็ดดี้ก็คงไม่ได้คำตอบเพราะเจ้าตัวเติบโตมาบนโลกมนุษย์ตั้งแต่ยังเยาว์

 

“ ทำไมถึงเรียกฉันแบบนั้น? ”

 

ฝ่ามือแกร่งพลันชะงักการเคลื่อนไหว  “ คุณอยากรู้เหรอ? ”

 

“ ไม่งั้นฉันจะถามเหรอ ” ทอมมี่เงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  “ ไม่ใช่ว่านายกำลังแอบด่าฉันด้วยภาษาบ้านเกิดหรอกนะ? ”

 

โนห์วาร์ถึงกับหัวเราะลั่น  “ ทำไมผมต้องด่าคุณด้วยล่ะ ”

 

“ ก็นายไม่เคยยอมบอกกันสักทีนี่นา ” เจ้าของพลังความเร็วเริ่มขึ้นเสียง  ก่อนจะกระชากหูฟังออกแล้วยันกายลุกขึ้น  ซึ่งหนุ่มชาวครีเองไม่รู้ว่าที่ฝ่ายคนรักเป็นแบบนี้เพราะด้วยนิสัยขี้โวยวายของเจ้าตัวหรือเปล่า  แต่เล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยเอาไว้ย่อมไม่ดีแน่

 

“ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก

 

“ มันแปลว่าบ้าน ” โนห์วาร์รีบเอ่ยแทรกก่อนอีกคนจะพูดจบประโยค ซึ่งนั่นทำให้ทอมมี่ที่กำลังปล่อยพ่นคำพูดตัดพ้ออย่างระรัวออกมานั้นถึงกับชะงัก

 

“ คุณก็รู้ผมกลับครีไม่ได้ ” เขารั้งร่างฝ่ายคนรักให้โน้มลงมาดังเดิม แนบศีรษะลงกับแผ่นอกแล้วแทรกแพนิ้วลงในกลุ่มผมสีเงิน  “ ผมมีคุณคนเดียวที่เป็นเหมือนบ้าน ” โนห์วาร์เอ่ยบอก เสียงชีพจรในอกยิ่งดังโครมครามให้คนที่ทาบทับอยู่ได้ยิน  “ เป็นบ้านที่ผมอุ่นใจจะอยู่ ”

 

ขณะที่ทอมมี่หน้าร้อนผ่าว  ถ้าได้เห็นใบหน้าของตนเองในตอนนี้มันคงแดงซ่านอย่างชัดเจนเป็นแน่  เด็กหนุ่มบ่นอุบด้วยเสียงอู้อี้  แต่มีหรือที่โนห์วาร์จะไม่ได้ยิน

“ นายมันน้ำเน่าที่สุดเลย ”

 

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น.. ทว่าทอมมี่กลับหุบยิ้มไม่ได้เสียที

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

[Ficlet – Young Avengers] let me be by your side (Noh-Varr/Tommy)

Title: Let me be by your side

Pairing: Noh-Varr/Tommy Shepherd

Genre: fluff, semi-angst

Note: คิดว่าคงจะ OOC อย่างร้ายกาจค่ะ ถถถถถ

 

Let me be by your side

 

ทอมมี่เป็นแบบนี้มาประมาณสองนาทีแล้วเห็นจะได้..

 

            มันเริ่มต้นจากท่าทีกระสับกระส่ายระหว่างการนิทราของเจ้าตัว  จนกระทั่งผ้านวมที่เคยคลี่คลุมหลุดร่นลงไปกองข้างกาย ทีแรกโนห์วาร์ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก  มันเป็นเรื่องปกติที่อีกคนจำเป็นต้องเขยื้อนกายตลอดเวลา  ทว่ามันไม่เป็นแบบนั้น.. สิ่งที่ตามมาทำให้เขาเริ่มกังวล

 

“ อย่า..

 

            เสียงสะอื้นแผ่วเรียกความสนใจได้ทันที  หนุ่มชาวครีสบมองฝ่าความมืดสลัวยังคนข้างกาย ฝ่ายนั้นยังคงไม่ได้สติ  นี่คงเป็นอาการของมนุษย์โลกที่เรียกว่า.. ละเมอ

 

“ ไม่..

 

โนห์วาร์ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  ครั้นจะให้เรียกบิลลี่หรือเคทมาช่วยก็เกรงใจเนื่องด้วยนี่เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว เขารู้เพียงว่าไม่อยากเห็นทอมมี่ในสภาพเช่นนี้  “ ทอมมี่.. ” เขาลองสะกิด หากแต่ทันทีที่ปลายนิ้วแตะผิวกาย ผลลัพธ์มันกลับตาลปัตร

 

“ เห้ย!

เขายิ่งตื่นตระหนกเมื่อร่างเพรียวออกวิ่ง  จากที่แก้ปัญหาไม่ค่อยจะถูกอยู่แล้วก็ยิ่งลำบากในการรับมือมากขึ้นไปอีก  ร่องรอยฉวัดเฉวียนเคลื่อนไปทางนั้นทีทางนี้ทีจนข้าวของกระจัดกระจาย

 

“ เวรเอ้ย..

 

            โนห์วาร์วิ่งตามไปรั้งร่างที่วิ่งวนไม่เป็นทิศทางนั่นไว้  กลัวเหลือเกินว่าฝ่ายนั้นจะทะลุผนังหรือหน้าต่างจนร่วงลงไปเสียก่อน  “ ทอมมี่! ทอมมี่.. ” ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายเมื่ออีกคนพยายามจะดีดดิ้นให้หลุดพ้น  เขายิ่งเพิ่มแรงโอบรัด

 

“ โทมัส!

 

            นัยน์ตาสีเดียวกันกับเขาพลันเบิกกว้าง ความหวาดหวั่นเปี่ยมล้นภายในนั้น “ น..โนห์? ” คนเพิ่งตื่นหอบหายใจ  ตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงหันมองรอบด้วยความฉงน “ ทำไม?

 

“ คุณ.. ฝันร้าย แล้วก็ละเมอ ”

 

ทอมมี่เลิกคิ้วขึ้น  นึกประหลาดใจกับสิ่งที่ตนเองกระทำโดยไม่รู้ตัว ค่อยๆยันกายลุกขึ้นโดยที่โนห์วาร์ยังคงเคียงข้างไม่ห่าง  “ โอ้.. ให้ตายสิ ” สองมือเลื่อนขึ้นมาลูบใบหน้าชื้นเหงื่อ

 

“ ฉ.. ฉัน.. ฉัน.. ” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเค้นคำพูดเมื่อภาพความฝันลอยวนเข้ามาอีกครั้ง.. ฝันที่เคยเป็นความทรงจำครั้งหนึ่ง

 

“ เฮ้.. ใจเย็นก่อน ” โนห์วาร์เริ่มตระหนกอีกครั้ง เขาพอรู้ถึงที่มาของบาดแผลในใจนั่นมาบ้าง ทำให้กลัวไปหมดว่าตนเองจะปฏิบัติตัวผิดพลาด “ ให้ผมเรียกบิลลี่มามั๊ย? ”

 

            อีกคนส่ายหน้าแทนคำตอบ  และแน่นอน.. โนห์วาร์รู้ดีว่าเป็นเพราะเจ้าตัวไม่นึกอยากให้ฝ่ายแฝดคนน้องต้องเป็นกังวลตามไปด้วย  “ แน่ใจนะ? ” ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ยังเป็นดังเดิม  เขาถอนหายใจพรืดยาว

 

“ เอาล่ะ.. ก่อนอื่นคุณต้องหายใจช้าๆ ” มันทรมานใจไม่น้อยที่ทอมมี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีขึ้นมาบ้างเลย เขาค่อยๆตระกองร่างอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน  “ ..แล้วให้ผมอยู่กับคุณนะ โอเคมั๊ย? ”

 

ยิ่งทำให้เขาไม่อยากห่างจากอีกฝ่ายเลยแม้เพียงวินาทีเดียว..

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

[Drabble – MFU au] The man from Serval Industries (Gambit/Quicksilver)

Title: The man from Serval Industries

Pairing: Remy Lebeau/Pietro Maximoff

Note: คาดว่าจะ OOC ไม่น้อยนะคะ ๕๕๕

 

The man from Serval Industries

 

บ่อยครั้งที่ชีวิตมักโยนเรื่องไม่คาดคิดมาให้..

.

.

 

            เรียวมือกร้านแกร่งบรรจงกรีดใบไพ่แล้วจัดเก็บเข้าสำรับให้เข้าที่  นัยน์ตาสีแดงเรื่อเงยขึ้นสบมองใครอีกคนที่โต๊ะปิงปองกลางห้อง  จริงๆก็เห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนักหรอก  มีเพียงร่องรอยฉวัดเฉวียนอันเกิดจากการเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วนั่นเท่านั้น

 

ใครคนนั้นที่มาดหมายจะเอาชีวิตของเรมี่ เลอโบตั้งแต่แรกเจอ..

 

“ อย่าเพิ่งฆ่าคู่หูตั้งแต่วันแรกสิ ”

 

            ก็เจ้าของพลังความเร็วนั่นแอบสะกดรอยตามเขาก่อน  จริงอยู่ที่ความว่องไวเหนือมนุษย์น่าจะทำให้เรมี่เพลี่ยงพล้ำอย่างง่ายดาย หากแต่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนที่วางแผนการต่อสู้ที่ดีเอาเสียเลย  ทั้งที่เป็นถึงลูกชายของอาชญากรหัวรุนแรงอย่างแม็กนีโต้แท้ๆ..

ดังนั้นแล้วในการพบเจอกันครั้งที่สอง.. คนที่พลาดท่ากลับเป็นอีกฝ่ายเข้าเสียแทน

 

ทว่าในตอนนี้ภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว..

 

            สุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไร.. ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้ครอบครองข้อมูลอันตรายนี้  และการจะได้มันมา ต้องมีใครอีกคนโดนฆ่าตาย  ฝ่ายเบื้องบนไม่ได้ใส่ใจถึงชีวิตของสายลับในสังกัดตรงข้ามอยู่แล้ว และพวกเขาก็แค่ทำตามหน้าที่  มิตรภาพระหว่างกันและกันไม่เคยมีอยู่

 

จริงๆตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมทีเดียว..

 

            เรมี่มองเรือนกายคล่องแคล่วนั่นสลับกับสำรับไพ่  หากเขาจะเลือกมันมาสักใบ  อัดพลังที่มีเฉพาะตนลงไปแล้วเล็งยังเป้าหมายนั่นจะเป็นการปลิดชีวิตอีกฝ่ายที่ดูไม่ยากเย็นอะไร 

และในตอนนั้นเองที่เขาทำตามอย่างที่คาดคิดไว้..

 

ทว่าเป้าหมายของใบไพ่เรื่อแดงนั่นไม่ได้เป็นเจ้าของกลุ่มผมสีเงินนั่นหรอก

..แต่เป็นดิสก์ข้อมูลเจ้าปัญหานี่ต่างหาก

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

นี่ต้องการอะไรรรรร ๕๕๕๕๕

เพิ่งดูหนังเรื่องนี้มาเมื่ออาทิตย์ก่อนค่ะ เหมือนจะกึ่งๆเอยูมากกว่าเนอะๆ  หลุดคาร์แปลกๆ  orz..

ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

[Translated Fiction] Caffeine High (Gambit/Quicksilver)

Title: Caffeine High

Pairing: Remy Lebeau/Pietro Maximoff

Genre: tooth-rotting fluff (I suppose haha)

Translater: Kowling

Original: Caffeine High

 

Caffeine High 

 

            มันไม่ใช่งานที่สมบูรณ์แบบนักหรอก  อันที่จริง.. ปิเอโตรไม่อยากจะทำงานอะไรเลยเสียมากกว่า ใครมันจะอยากทำทั้งที่ตนเองก็สามารถได้อะไรที่ต้องการอย่างง่ายดายอยู่แล้ว  หากแต่แม่ของเขายังยืนกรานเช่นนั้น  ให้เหตุผลว่าการเป็นขโมยนั้นไม่ใช่การหาเลี้ยงตัวเองที่ดี  อยากให้เขาเห็นถึงคุณค่าของเงินบ้าง ทั้งยังอยากให้เขาช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินด้วย  ซึ่งอายุของปิเอโตรเองนั้นก็สามารถจะทำได้แล้ว

            นิสัยลักเล็กขโมยน้อยของเขาก็คงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งด้วยที่ทำให้แม่ตัดสินใจแบบนี้  แม่ไม่เคยบอกให้แวนด้าหางานพิเศษทำ  เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอดเวลาเหมือนอย่างเขา  อีกทั้งเธอยังไม่เคยขโมยของอะไรด้วยต่างหาก

 

ปัญหาของการหางานพิเศษทำคือปิเอโตรขโมยของมาแล้วทุกร้านที่ห่างจากบ้านในรัศมีห้าสิบไมล์นี้  ดังนั้นแล้วการสมัครงานในที่เหล่านั้นจึงค่อนข้าง.. รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย

 

“ แต่พี่ก็ขโมยกาแฟไม่ได้นี่นา จริงมั๊ย? ” แวนด้ากล่าวกับเขาในคืนหนึ่งที่ตนเองรู้สึกกังวลนักหนาว่าควรจะทำอย่างไรดี  “ อีกอย่าง.. พี่ก็ชอบกาแฟ ”

 

“ เธอหมายความว่าไง? ” ปิเอโตรเอ่ยถาม  “ ฉันควรเป็นบาริสต้าจริงๆเหรอ? ”

 

“ ก็ใช่ ” แวนด้ากล่าวตอบ

 

ใช้เวลาประมาณห้าวินาทีเห็นจะได้ที่ปิเอโตรคิดว่าความเห็นนั่นช่างน่าขบขันยิ่งนัก  หากแต่ก็ตระหนักว่าแวนด้าพูดถูกแล้ว.. เธอน่ะถูกเสมอแหละ

 

            ดังนั้นแล้ววันต่อมาเขาจึงเดินไปยังร้านกาแฟ(ต้องเดินอยู่แล้วเพราะถ้าหากวิ่งด้วยระดับความเร็วเหนือเสียงแบบนั้นคนคงได้ตกใจกลัวกันหมด) เพื่อที่จะสมัครงาน  ขณะที่กำลังเขียนรายละเอียดและยื่นมันให้กับพนักงานนั้นเอง  เด็กหนุ่มคนนั้นพลันมองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยถาม  “ เราเคยเจอกันมาก่อนมั๊ย? ”

 

“ อืม.. ไม่นะ ” ปิเอโตรเกือบจะวิ่งหนีแล้ว ทว่าเด็กหนุ่มนั่นกล่าวต่อ

 

“ คุณมาที่นี่บ่อยน่ะ ” ฝ่ายพนักงานเอ่ย  “ แล้วก็สั่งมอคค่าตลอด ผมจำไม่ผิดใช่มั๊ยเนี่ย? ”

 

“ อ่า.. ครับ ” ปิเอโตรเสยกลุ่มผมสีจางขึ้นลวกๆ  “ ใช่ครับผมเอง ” เขาเองค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ เพราะน้อยนักที่คนจะรู้จักเขาด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่ไอ้เด็กตัวแสบที่ก่อปัญหาอยู่เรื่อย

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

เมื่อกลับมาถึงบ้าน  แวนด้ามองเขาครู่หนึ่งก็ถึงกับส่ายหน้า  “ พี่จะไปทำงานแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดเลย ”

 

“ แบบไหนอะ?! ” ปิเอโตรร้องลั่น สายตาสำรวจมองตนเอง

 

“ ผมพี่ไง โคตรเห่ยเลย ”

 

“ ก็มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดนี่นา! ” ปิเอโตรแย้ง

 

“ ฉันก็ไม่ได้หมายถึงสีผมซะหน่อย ” แวนด้ากล่าว  “ พี่ต้องตัดผมนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม่ไม่ว่าพี่เรื่องนี้บ้างหรอ รกซะขนาดนี้ ”

 

“ ก่อนจะว่าฉันน่ะ ดูผมตัวเองซะก่อนเหอะ ” ปิเอโตรชี้ยังกลุ่มผมของเด็กสาวที่หยักลอนและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

 

“ ตัดผมซะ ” แวนด้าออกคำสั่ง “ เดี๋ยวนี้ ”

 

“ แต่ร้านตัดผมมันปิดหมดแล้วนะ ”

 

“ ใครบอกจะให้พี่ไปตัดผมที่อื่นล่ะ ” ทันทีที่เธอกล่าวจบ  นัยน์ตาของเด็กหนุ่มพลันเบิกกว้าง  เขารีบถอยห่างจากแฝดคนน้อง  ทว่าช้าไปเสียแล้วเมื่อเธอใช้พลังเวทมนตร์ร่ายคาถาปิดทุกประตูในบ้านและล็อคมันอย่างแน่นหนา  เหลือไว้เพียงบานประตูห้องน้ำเท่านั้นที่เปิดอยู่

 

            สิบนาทีหลังจากการถกเถียงกันอยู่พักใหญ่  ท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่จึงมาจบในห้องน้ำโดยที่แวนด้ากำลังตวัดกรรไกรตัดเล็ม กระจุกผมสีเงินอ่อนกระจัดกระจายทั่วพื้น

“ ทีนี้อย่ามาหาว่าฉันไม่เคยทำอะไรให้พี่อีกนะ ”

 

สีหน้าของปิเอโตรดูไม่ค่อยจะพอใจนักเมื่อเห็นสภาพของตนเองในกระจก กลุ่มผมสะเปะสะปะทุกทิศทางไม่เป็นทรง ราวกับเพิ่งวิ่งต้านลมมาเสียอย่างนั้น

“ แวนด้า  เธอไปเรียนตัดผมมาจากไหนเนี่ย? ”

 

“ ฉันใช้เวทมนตร์ให้กรรไกรทำงานเองน่ะ ”

 

เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดยาว  “ ฉันชอบให้มันยาวมากกว่า นี่ดูสิ เห็นหูหมดแล้ว ”

 

“ แล้วไงล่ะ? หูพี่ก็สวยดีนี่ ” แวนด้ากล่าวตอบแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

..เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลย

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            ปิเอโตรได้เข้าสัมภาษณ์งานในสองวันถัดมา เขาจำจนขึ้นใจว่าต้องพูดจาให้ช้าลงทั้งยังต้องมีความอดทนต่อหญิงสาวตรงหน้าผู้ซึ่งอาจจะกลายมาเป็นเจ้านายของเขาในอนาคต  ผลสุดท้ายคือเขาได้รับเข้าทำงานที่นี่  สองวันต่อมาชุดประจำจึงมีผ้ากันเปื้อนสีดำเพิ่มเข้ามาพร้อมด้วยป้ายชื่อบนอกที่เขียนว่า ปีเตอร์

 

“ ผมชื่อปิเอโตรนะ ” เขาเอ่ยบอกกับผู้หญิงอีกคนที่ทำงานด้วยกัน  เธอมีนามว่าเบ็ทซี่

 

“ ไม่เหมือนใครดี ” เบ็ทซี่กล่าว  “ คือเราใช้ป้ายชื่อต่อกันมาน่ะ แล้วมันก็ไม่มีปิเอโตร แต่อย่างน้อยนายก็โชคดีที่ได้ชื่อใกล้เคียงนะ ”

 

“ งั้นชื่อจริงคุณก็ไม่ใช่เบ็ทซี่หรอ? ”

 

“ ก็ไม่ใช่น่ะสิ ”

.

.

 

            ทั้งวันนั้นปิเอโตรใช้เวลาไปกับการศึกษาการใช้งานเครื่องชงกาแฟและบรรดาประเภทเครื่องดื่มทั้งหลาย  เรียนรู้ถึงรสนิยมกาแฟอันแปลกประหลาดของผู้คน  อ้อ.. เพิ่งได้รู้ด้วยว่าเขาน่ะดูดีมากๆยามเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุดแบบนี้  แม้ว่ามันจะไม่ใช่ชุดทางการของบาริสต้าประจำร้านก็ตามที

            อย่างน้อยก็มีลูกค้าชมว่าพนักงานคนใหม่นี่น่ารักน่ะนะ  ปิเอโตรเองจำหน้าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

“ มัน.. แปลก ” เขากล่าวกับแวนด้าหลังจากผ่านพ้นการทำงานในวันแรก  “ ฉันชอบอะไรหวานๆแต่บางคนเขา.. แค่เอสเพรสโซ่ใส่โฟมนมเนี่ยนะ? ”

 

“ บางคนก็แค่ดื่มกาแฟเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวน่ะ ”

.

.

 

            วันที่ของการทำงานเริ่มต้นผ่านไปดีกว่าวันแรกเสียอีก  ดีจนสร้างความประทับใจให้เบ็ทซี่มากทีเดียว  ซึ่งปิเอโตรบอกกับเธอเพียงว่า “ เผอิญผมเป็นพวกเรียนรู้ไว ”

 

            จนเมื่อช่วงเวลาสงบอันน่าเบื่อหน่ายของร้านก็ได้มาเยือน  ในทุกวันจะต้องมีเวลานี้ที่ไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยแม้เพียงสักคนเดียว และมันก็จะไม่มีอะไรทำเลยนอกเสียแสร้งทำว่าวุ่นวายนักหนา  มันทำให้เขาประสาทเสีย

            ปิเอโตรทำความสะอาดโต๊ะอย่างน้อยก็เป็นครั้งที่สองแล้ว  พยายามที่จะใช้ความเร็วเทียบเท่ามนุษย์ทั่วไป  ขัดถูเครื่องชงกาแฟ  เช็ดล้างบรรดาจานและถ้วยกระเบื้องทั้งหลาย  จัดเรียงขนมหวานเข้าเตาอบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความวุ่นวายในช่วงบ่าย

            เด็กหนุ่มเคาะเท้าเสียงเปาะแปะด้วยความเร็วที่ทำมันดังอื้ออึงได้จนหลายคนรู้สึกได้  แต่ก็ไม่มีใครสังเกตได้ว่าเป็นตัวเขา อ่า.. นั่นดีแล้ว

 

“ นี่แค่สิบเอ็ดโมงเองเหรอ? ” ปิเอโตรเอ่ยถาม

 

“ อะไรนะ? ”

 

“ มันยังไม่เที่ยงอีกเหรอ? ”

 

เบ็ทซี่เพียงแต่ยักไหล่  “ เดี๋ยวก็เที่ยงหน่า ”

 

            คราวนี้เด็กหนุ่มเริ่มครุ่นคิดถึงการแยกส่วนเครื่องชงกาแฟ ดูการทำงานของมันแล้วประกอบกลับดังเดิมเพื่อฆ่าเวลา ทว่าเสียงเปิดประตูจากลูกค้ารายใหม่ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน  เขารีบตรงเข้าไปต้อนรับ

 

“ สวัสดีครับ ต้องการจะรับอะไรครับ? ”

 

            ฝ่ายลูกค้าร่างสูงโปร่งเพียงแต่จับจ้องมา เขาคิดว่านะ เพราะเจ้าตัวสวมใส่แว่นกันแดดสีทึบบดบังไว้อยู่  ก่อนจะเอ่ยปาก คำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน “ เดาว่านายคงดื่มเอสเพรสโซ่มา ใช่มั๊ย? ”

 

“ เรมี่ ” เสียงของฝ่ายหญิงสาวเอ่ยขึ้นด้านหลังของตัวเขา

 

“ สวัสดี ” เรมี่กล่าวทักทาย โบกมือให้เธอเล็กน้อย จึงได้สังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นสวมถุงมือหนังอีกด้วย ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่ามันดูน่าขบขันไม่น้อย แต่ว่าไปก็คงเข้าตัว.. ปิเอโตรเองยังมีเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีเงินเลย

“ มีเด็กมาใหม่เหรอ? ”

 

“ ผมชื่อปิเอโตร ” เจ้าของผมสีเงินเอ่ยขัด

 

“ แต่นั่นไม่ใช่ชื่อบนป้ายนายนี่ ”

 

“ ช่างป้ายชื่อเถอะ ” เขาแย้งออกมา “ จะสั่งอะไร? ”

 

“ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั๊ยว่าให้พูดสุภาพกับลูกค้า ” เบ็ทซี่กระซิบข้างหู  “ แต่นั่นเป็นเรมี่ ไม่เป็นไรหรอก  ดูเขาไว้ให้ดีล่ะ เขาจะมาขโมยเมล็ดกาแฟ ”

 

“ ผมโดนกล่าวหาอีกแล้ว ” เรมี่วางมือทาบอกตนเอง  “ ไม่ได้จะมาขโมยอะไรซะหน่อย ”

 

“ ร้านแถวนี้ห้ามคุณเข้าเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่รึไง หื้ม? ” เบ็ทซี่ว่า  “ ว่าแต่จะสั่งอะไร? ”

 

“ ผมขอคาราเมลลาเต้ ” เรมี่เอ่ยสั่ง  “ เพิ่มน้ำตาลนะ ”  ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

 

ปิเอโตยื่นแก้วให้กับหญิงสาวเพื่อนำไปชงกาแฟตามคำสั่งของฝ่ายลูกค้า  ขณะชำระเงินนั้นเอง.. ชายหนุ่มเอนกายแนบกับเคาน์เตอร์ เมื่อปิเอโตรเงยหน้าขึ้นจากการนอบเงินทอนเตรียมให้จึงแทบสะดุ้ง  เนื่องด้วยใบหน้าของอีกฝ่ายที่เข้าใกล้จนเกินพอดี

 

“ รู้จักคำว่าพื้นที่ส่วนตัวบ้างมั๊ยเนี่ย ”

 

“ ทำไมมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ล่ะ? ”

 

ปิเอโตรกลอกตาหน่ายๆ  “ ก็แค่เบื่อเลยมาทำงาน คุณคิดว่าไงล่ะ? ” เรียวมือยื่นเงินทอนให้อีกคน  “ แล้วคุณเป็นขโมยจริงๆเหรอ? ”

 

“ ไม่ ถ้าไม่โดนจับได้ ”

 

“ คุณน่ะมันหัวขโมย เรมี่ ” เบ็ทซี่โต้ขึ้นท่ามกลางเสียงหวอจากการทำงานของเครื่องอุ่นนมร้อน

 

“ ไม่เอาหน่า  ผมไม่เคยขโมยอะไรจากที่นี่นะ ”

 

“ ยังไม่เคย ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำ ” หญิงสาวบ่นอุบ

 

“ คุณเป็นขาประจำที่นี่เหรอ? ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

 

“ อ่าฮะ ” ฝ่ายลูกค้าเงยหน้าจากเครื่องดื่มขึ้นมอง  “ ผมนายสวยดีนี่ ”

 

            เจ้าของกลุ่มผมสีซีดจางเผลอเลื่อนเรียวมือขึ้นมาที่ศีรษะโดยอัตโนมัติ  โดดเด่นเสียอย่างนี้.. ใครต่อใครก็เป็นอันต้องพูดถึงมันทั้งนั้น  บ้างก็ว่ามันดูมีเสน่ห์  บ้างก็ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่  มีคนเคยบอกด้วยว่าทรงผมเขาน่ะมันโคตรล้ำอีกต่างหาก

 

เรมี่ยิ่งยื่นวงหน้าเข้ามาใกล้  “ นายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหรอ? ”

 

ปิเอโตรเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว  “ ผมเป็นบาริสต้า ”

 

“ กาแฟที่สั่งได้แล้ว ” เบ็ทซี่ยื่นแก้วเครื่องดื่มมาให้ ยัดมันลงกับมือของชายหนุ่ม  “ ต้องการจะรับอะไรอีกมั๊ยคะ? ”

 

“ ถ้าเป็นเดทสักครั้งนึงคุณจะว่ายังไง? ” เรมี่หยอกล้อ

 

“ ไม่มีทางซะหรอก ” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน ซึ่งนั่นทำให้ฝ่ายร่างสูงโปร่งแสร้งทอดถอนใจราวว่าตนเองกำลังผิดหวังอย่างถึงที่สุด  ก่อนจะย่างกรายออกไปจากตัวร้าน

 

“ เขาเป็นใครกันแน่? ” ปิเอโตรท้วงถาม

 

“ หมอนั่นชื่อว่าเรมี่ เลอโบ อดีตหัวขโมยแห่งนิวออร์ลีนส์ ปัจจุบันมาเป็นไอ้ตัวแสบที่นี่ ” เบ็ทซี่กล่าวตอบ  “ แต่ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ”

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            ปิเอโตรก็ไม่ได้นึกอยากจะใส่ใจกับฝ่ายนั้นนักหรอก ถ้าไม่ใช่ว่าในวันถัดมานั้น เรมี่มาเยือนที่ร้านอีกครั้งขณะที่เขากำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่  เจ้าตัวสั่งเครื่องดื่มแล้วจงใจเดินมานั่งใกล้กัน  เอ่ยทักทายที่ทำให้ปิเอโตรสะดุ้งโหยง  “ เฮ้! ” เขาไม่ทันได้สังเกตอีกฝ่ายด้วยซ้ำว่าเดินเข้ามาในตัวร้านตั้งแต่ตอนไหน

 

“ อะไร?! ” เขาหันขวับ อยากจะซัดผ้าขี้ริ้วเข้าหน้าไอ้หมอนี่เสียจริง

 

“ นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย นายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์รึเปล่า? ”

 

“ แล้วคุณเป็นรึไง? ” ปิเอโตรโต้ตอบ

 

ร่างสูงโปร่งกระตุกยิ้มก่อนจะเลื่อนแว่นสีทึบลงมา  นัยน์ตาที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในเป็นสีดำสนิท เรื่อแดงตรงกลาง  “ นายคิดว่ายังไงล่ะ? ”

 

“ ถ้าคุณเห็นว่ามันชัดเจนขนาดนี้ ” เด็กหนุ่มว่าพลางชี้เข้าที่เรือนผมแปลกประหลาดของตนเอง  “ คุณจะถามทำไม? ”

 

“ บางคนก็มีรูปลักษณ์ที่แตกต่าง แต่ไม่ได้เป็นพวกกลายพันธุ์ ว่าแต่นายทำอะไรได้? ”

 

“ ผมทำกาแฟ ” ปิเอโตรกล่าวตอบ  “ พลังของคุณคือการขโมยของรึไง? ”

 

“ เอาจริงๆนะ.. จับตาดูให้ดีแล้วกัน ” เรมี่ล้วงมือเข้าในกระเป๋าเสื้อ หยิบเอาไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ เป็นสิ่งที่ปิเอโตรแทบไม่ได้คาดคิดถึงเลยสักนิด เขาหัวเราะลั่น

 

“ กลไพ่เหรอ? ”

 

“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ” แผ่นไพ่เรื่อแสงขึ้นมา ทำเอาปิเอโตรเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เรมี่จะสะบัดข้อมือ ไพ่ใบนั้นลอยหวือตรงไปยังโต๊ะที่มุมหนึ่ง

 

เกิดระเบิดเสียงดังลั่น!

 

            ทั้งฝ่ายเด็กหนุ่มและบรรดาลูกค้าต่างพากันตื่นตระหนก เรมี่ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาหันไปหา คราวนี้ได้ตีอีกคนด้วยผ้าขี้ริ้วเข้าแล้วจริงๆ  “ นี่คุณทำบ้าอะไรวะ?! จะฆ่าเรากันรึไง ”

 

“ โอ้ไม่เอาหน่า ” เรมี่เอ่ย  “ มันไม่ได้อันตรายขนาดนั้นซะหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้นายหายเบื่อ ”

 

“ ผมไม่ได้เบื่อนะ ”

 

“ ก็ไม่อีกแล้วไง ” หากทว่าตอนนั้นเองเรมี่เหลือบไปเจอว่าเบ็ทซี่กำลังจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงตรงเข้ามา เขาถอนหายใจพรืดยาว  “ เอาล่ะ ต้องไปแล้ว ” ก่อนจะเร่งรีบเดินไปที่ประตูในทันใด

 

เบ็ทซี่วางมือบนลาดไหล่  “ ฉันน่าจะเตือนเธอก่อน ”

 

“ หมอนั่นทำแบบนี้บ่อยเหรอ? ”

 

หญิงสาวยักไหล่  “ ใช่ เขาเล่นกลพวกนี้ใส่บาริสต้าของเรา มีคนนึงถึงกับขอลาออก ฉันควรจะห้ามเขาแล้ว แต่ว่า

 

“ เพราะเขาดูดีมากๆเลยใช่มั๊ยล่ะ? ” ปิเอโตรเลิกคิ้วถาม

 

“ แต่คราวหน้าเธอจะไล่เขาไปก็ได้นะ ”

 

            เจ้าของกลุ่มผมสีเงินเบือนนัยน์ตามองยังโต๊ะที่เพิ่งทำความสะอาดไป  ก่อนจะพบว่ามีไพ่ใบหนึ่งวางอยู่ หน้าปรากฏเป็นโพแดง  ปิเอโตรหยิบมันขึ้นมาแล้วเก็บมันไว้อย่างเงียบเชียบ  เขาคิดว่าเขากับเรมี่มีเรื่องต้องคุยกันเสียแล้ว

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            ฝ่ายนั้นไม่ได้มาเยือนที่ร้านอีกเลยจนกระทั่งท้ายสัปดาห์  และตอนที่เจ้าตัวมานั้น ปิเอโตรก็เพิ่งทำเครื่องดื่มไปไม่กี่แก้ว(เบ็ทซี่บอกเสมอว่าเขาน่ะเป็นพนักงานดีเด่น ทำงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่เปิดร้านมาเลย) เขายื่นเมนูให้กับลูกค้าท่าทางสูงอายุเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะตะโกนบอกเบ็ทซี่ว่า  “ ผมพักแล้วนะ!

 

กว่าฝ่ายหญิงสาวจะเดินมาถึงตัวเขาเพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ปิเอโตรก็ออกไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ ขวางทางเจ้าลูกค้าตัวปัญหานั่นเข้าเสียแล้ว

 

“ สวัสด” ยังไม่ทันที่เรมี่จะได้กล่าวคำทักทายจนจบ สีหน้าไม่พอใจของเด็กหนุ่มทำเอาเขาชะงัก  “ เฮ้ ไม่เอาหน่า ” ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะถูกลากพาออกไปด้านนอก

 

            คนทั้งคู่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้าน  เรมี่กอดอกแล้วยิ้มเผล่ ก้มมองใบหน้าของเขา ..ซึ่งมันน่าขัดใจชะมัด ปิเอโตรคิดว่าตัวเขาเองก็สูงพอสมควรอยู่นะ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นแตกต่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนเอง แต่กลับดูสูงกว่านั้น

 

เด็กหนุ่มยื่นแผ่นไพ่คืนให้กับฝ่ายเจ้าของ  เขานำมันติดตัวตลอดนับตั้งแต่วันที่อีกคนวางเอาไว้ให้  “ พอดีผมชอบข้าวหลามตัดมากกว่า ”

 

“ ได้เสมอ ” เรมี่รับมาแล้วเก็บมันไว้ดังเดิม  “ ข้าวหลามตัดหลักแหลมเหมาะกับนายดี ”

 

“ คุณควรหยุดสร้างความวุ่นวายให้คนอื่นได้แล้ว ” ปิเอโตรเข้าเรื่อง  “ คนในร้านจะไม่ให้คุณเข้ามาอีกต่อไปแล้วนะ ”

 

“ คนนั้นน่ะคือนายเหรอ? ” เรมี่ถามกลับ ซึ่งเด็กหนุ่มอยากจะตอบว่าใช่เสียเหลือเกิน  หากไม่ใช่ว่าตัวเขาก็เองเคยโดนหมายหัวจากร้านนั้นร้านนี้มาแล้ว จะให้ไล่อีกฝ่ายที่ไม่ต่างกันแล้วมันเหมือนคนตีสองหน้า  ไม่เอาด้วยหรอก

 

“ ก็แค่เตือนไว้ก่อน ”

 

“ ฉันพอจะนึกออกแล้วว่าพลังของนายคืออะไร ” ร่างสูงโปร่งเอ่ย  “ ความเร็วนี่เอง ”

 

“ คุณรู้

 

“ นายเผลอใช้พลังตอนลากฉันออกมาข้างนอกจ๊ะที่รัก ”  สิ่งที่ได้ยินทำเอาปิเอโตรครวญคร่ำอย่างสิ้นหวัง  เขาเบือนสายตามองเข้าไปในตัวร้าน พบเห็นเบ็ทซี่กำลังโบกมือกลับมา  “ นายปิดมันไม่ได้หรอก ”

 

“ เงียบไปเลย มันยากนะเข้าใจมั๊ย ”

 

“ ก็พอจะนึกออก.. ต้องทนมองโลกกำลังหมุนไปช้าๆ.. จริงๆฉันก็ชอบความเร็วกับชีวิตเร่งรีบนะ ”

 

“ เหอะ.. ดูจากการพูดคุณแล้วไม่น่าใช่เลย ” เด็กหนุ่มแย้งกลับ

 

“ ทำไม? เพราะสำเนียงฉันหรอ? ” เรมี่แย้มยิ้ม  “ เข้าใจกันหน่อย ฉันโตมาแถบทางใต้  ว่าแต่นายเองก็ดูจะชอบอะไรเหมือนฉัน ..ไปดื่มกาแฟด้วยกันมั๊ย? ”

 

“ ห๊ะ?! ” ปิเอโตรกระพริบตาปริบๆ  “ ผมก็ขลุกอยู่กับกาแฟทุกวันอยู่แล้ว ไม่เอาด้วยหรอก ”

 

“ จริงๆฉันก็ไม่ได้หวังจะดื่มกาแฟซะหน่อย ”

 

เจ้าของกลุ่มผมสีเงินมองหน้าอีกฝ่ายครู่ใหญ่  มันดูเนิ่นนานทีเดียวสำหรับเขากว่าจะตระหนักได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของฝ่ายนั้น  “ นี่คุณชวนผมไปเดทเหรอ? ”

 

“ ก็.. ประมาณนั้น นายก็ดู.. น่ารักดี ”

 

ปิเอโตรยืนกอดอกแน่น  “ ไม่นึกว่าคุณจะรุกหนักขนาดนี้ ”

 

“ จะคว้าโอกาสนี้ไว้มั๊ย? หื้ม? ถ้าปล่อยไปแล้วมาเสียใจทีหลัง อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ”

 

“ เวรเอ้ย ” เด็กหนุ่มหลุดสบถ

 

“ ฉันช่วยตัดสินใจได้นะ ”

 

“ นี่คุณ” คำพูดที่เขาตั้งใจจะกล่าวต่อพลันชะงักงัน เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายเลื่อนมาแตะที่ผิวแก้ม รู้ตัวอีกทีร่างสูงโปร่งก็แนบเรียวปากลงมาทาบทับเสียแล้ว

 

ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงทอดถอนริมฝีปากออก เรมี่ยิ้มกว้าง ขณะที่ห้วงความคิดของปิเอโตรยังไม่ทันได้ประมวลผลทุกสิ่งอย่างได้ดีนัก  จนเมื่อไม่กี่วินาทีผ่านไป เบื้องลึกในจิตใจพลันกรีดร้องลั่น เขาคำราม หลุดพ่นคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“ นี่คุณทำบ้าอะไรไม่นึกบ้างเหรอว่าคนข้างในจะเห็นรู้มั๊ยว่าผมซีเรียสนะพวกเขาต้องล้อผมแน่ๆเพราะคุณน่ะมัน

 

“ พูดอะไรฟังไม่เห็นรู้เรื่อง ” เรมี่ไม่อาจจับใจความได้จริงๆ  “ ไว้ฉันจะรอคำตอบเรื่องเดทของเรานะ ” ก่อนจะเคลื่อนกายห่างออกไป

 

“ ก็ได้วะ.. ” เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะตะโกนหาอีกฝ่าย  “ ผมจะไปกับคุณ! แต่แค่เดทเดียวนะ! ไม่เอาร้านกาแฟด้วย!

 

เรมี่เพียงแต่โบกมือลา ทิ้งปิเอโตรไว้ให้ถอนหายใจพรืดยาวแล้วจึงเดินกลับเข้าตัวร้าน

 

“ เป็นไงบ้าง? ” เบ็ทซี่กล่าวถาม

 

ทว่าฝ่ายเด็กหนุ่มกลับเดินผ่านเธอไปหยุดยังหน้าเครื่องชงกาแฟ  “ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ”

 

แล้วก็เป็นตามนั้น.. เบ็ทซี่ไม่ถามไถ่ถึงเรื่องนี้อีกเลยจนกระทั่งในสองวันถัดมา.. เรมี่มาเยือนที่ร้านอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับแผนการณ์เดทระหว่างเจ้าตัวกับปิเอโตรเสียด้วย

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ใช้ชื่อปิเอโตรแต่คุณไรท์แกบอกว่ายังไงก็เอาคาแรคเตอร์จากนุ้งควิกใน DoFP นะคะ 😀

เลือกแปลเรื่องนี้เพราะความฟลัฟจ๋าของมันนี่แหละค่ะ ฟลัฟในแบบคู่นี้อ่ะนะ มันต้องกัดกันน่ารักๆ ๕๕๕  อีกอย่างเป็นเอยูร้านกาแฟด้วย  นึกภาพนุ้งควิกในชุดบาริสต้าคงน่ารักน่าดู แอร๊ยยย

มาขึ้นเรือนี้กันเยอะๆนะก๊ะ(ถึงแม้เวิร์สหนังจะยังไม่มาก็ตาม กร๊ากกก)

ปล.ผ่านการปรู๊ฟมาแค่รอบเดียว ผิดพลาดอะไรขออภัยนะคะ ;w;