[Ficlet] Fight, Scream, Kiss, Repeat (GaKook)

Title: Fight, Scream, Kiss, Repeat

Pairing: Min Yoongi/Jeon Jungkook

Genre: Angst, Hurt/Comfort (Actually there’s no comfort), AU – HYYH storyline

Note: This is sequel of  I didn’t fall, I jumped.

 

Fight, Scream, Kiss, Repeat

 

จอนจองกุกเพิ่งตระหนักได้ไม่นานมานี้ว่าความรักเป็นเรื่องจอมปลอม

            โดยเฉพาะความรักจากผู้ชายที่ชื่อมินยุนกิ  มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวและไม่เคยจะมั่นคงหนักแน่น วูบเดียวที่มันเป็นความสุข หลังจากนั้นไม่นานมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความขื่นขมจนเขาอยากจะหลีกหนีไปให้ไกล  มันทำร้ายใจกันจนพังยับซ้ำย้ำไม่รู้จบ

            และเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองได้รับ จองกุกก็เอาแต่นึกโทษการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอดีต ถ้าหากในตอนนั้นเขาไม่พลั้งเผลอ เลือกจะปฏิเสธแล้วเดินหนีออกมา จบทุกอย่างไว้ที่หลังประตูบานนั้น ถ้าหากเขาเลือกจะใช้ความคิดพิจารณาการกระทำมากกว่าความต้องการทางใจสักนิด เชื่อคำเตือนที่ใครต่อใครได้กล่าวไว้..

 

หากแต่เวลาคือเส้นทางที่ไร้ซึ่งจุดย้อนกลับ และผลของปัจจุบันก็เกิดจากการกระทำในอดีต

สิ่งที่ทำได้มีเพียงการตัดขาดจากมันแล้วสร้างจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

 

แต่อนิจจา.. ส่วนที่ยากที่สุดเมื่อจะลงมือทำอะไรสักอย่างมักเป็นการเริ่มต้นเสมอ

 

            ในกรณีของจองกุก มันไม่ใช่ตอนที่เขากระดกแอบแซงธ์รวดเดียวหมดแก้ว ไม่ใช่ตอนที่ตัวเองต้องต่อสู้กับอิทธิฤทธิ์ล้นเหลือของภูตสีเขียว มันเหมือนพายุกำลังก่อตัวขึ้น บ้าคลั่ง กระจัดกระจายไร้ทิศทางและควบคุมไม่ได้ แต่เป็นตอนที่ยุนกิวิ่งตามเขาเข้ามาในห้องน้ำขนาดเล็กแห่งนี้

 

มันเป็นการตัดสินใจที่เขาไม่อยากยอมรับนัก

จุดเริ่มต้นในการปีนป่ายกลับขึ้นไปมันยากเย็นกว่าจุดเริ่มต้นของการร่วงหล่นมากโข

 

            ทว่าจองกุกไร้สติเกินกว่าจะสนใจสิ่งรอบกาย  รู้สึกแค่เพียงความฝาดขมชวนพะอืดพะอมในลำคอที่กำลังทรมานเขาอย่างหนัก  จนเมื่ออาเจียนไปรอบหนึ่ง ภาพรูปร่างพิกลพิการและแสงสีประหลาดในความคิดจึงค่อยเลือนหายลง  อาการวิงเวียนเริ่มทุเลาเล็กน้อย

 

“ จองกุก! ” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างร้อนรน  สติคืนกลับมาเกือบครึ่ง  เขาถวิลหาอีกฝ่ายสุดหัวใจ แต่ถ้าจองกุกไม่เริ่มมันเสียตั้งแต่ตอนนี้  สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในก่อนหน้า วันนี้ จะก็เกิดขึ้นอีกครั้งในวันต่อๆไป

 

            เขาต้องสร้างรอยปริแตกในวงเวียนแห่งความทรมานนี้  ทุบทำลายหัวใจตัวเอง ผลักไสเจ้าของสองมือที่พยายามจับแตะบนตัวเขาให้ออกห่าง เก็บซ่อนอาการเศร้าโศกทั้งที่ความอาวรณ์ท่วมท้นในแววตา  ไม่อยากให้ยุนกิรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเอาชนะได้ จองกุกแพ้ตั้งแต่เริ่มและเป็นเช่นนั้นเสมอมา

 

ก็แค่คนใจร้ายคนหนึ่งที่เอาแต่ทำร้ายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทำไมมันถึงเจ็บปวดเมื่อต้องตัดขาด

ทำไมถึงไม่เคยนึกหลาบจำกับสิ่งที่เจอ

ทำไม..

 

วินาทีนั้นเองภาพตรงหน้าของเขาก็พลันหมุนเคว้งและเบลอพร่า ก่อนที่จะถูกกลืนกินโดยความมืดมิดไปในที่สุด

ในช่วงเวลาอันแสนสั้น  จองกุกเห็นสายตาของคนใจร้ายที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันอย่างชัดเจน

.

.

 

            สิ่งแรกที่จองกุกรู้สึกหลังจากคืนสติกลับมาคืออาการปวดหนึบในศีรษะราวกับมีบางอย่างโขกกระทุ้งเข้าอย่างรุนแรง สิ่งที่สองคือความอบอุ่น.. มันไม่ใช่ความอบอุ่นอย่างที่ผ้านวมนุ่มฟูจะมอบให้กันได้  มันอบอุ่นเหมือนผิวเนื้อ หล่อเลี้ยงด้วยชีวิต กระเพื่อมเป็นจังหวะราวกับลำดับการหายใจ

 

เหมือนเป็นใครสักคน..

 

ความตื่นตระหนกโถมถล่มลงมาในความคิด จองกุกสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะพยายามผละกายออก แต่เมื่อลืมตาขึ้นและตระหนักได้อ้อมแขนที่กอดไม่ยอมปล่อยนี้มีเจ้าของเป็นใคร การพยายามดิ้นขืนจึงถูกพับเก็บเอาไว้

 

เขาเห็นใบหน้าของยุนกิที่ใกล้เพียงคืบ

 

            เด็กหนุ่มพิจารณาองค์ประกอบที่รวมกันในนั้น ทั้งผิวขาวซีด ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเรียวรีที่ปิดสนิท มันสมบูรณ์แบบ.. สงบนิ่งเหมือนผืนน้ำราบเรียบ เขาเห็นเพียงมินยุนกิคนนี้  ไม่ใช่คลื่นทะเลบ้าคลั่งที่กร่อนกวาดทลายทุกอย่างให้เป็นเศษซากไม่มีชิ้นดี

 

ครั้นเมื่อตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้  อาการร้าวยอกในอกก็พลันตีตื้นขึ้นมา

ไม่ว่าจะครั้งไหนที่เขาพยายามยึดที่จับจนแน่นแล้วปีนป่ายกลับไป ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะไถลร่วงลงมายังก้นบึ้งในหลุมลึกแห่งเดิมทุกครั้ง หัวใจของเขาก็ร้องเรียกหาแต่คนเดิม

 

ยุนกิ

ยุนกิ

ยุนกิ

 

เขาแพ้อีกแล้ว..

 

ทุกครั้งที่เขาถูกคนตรงหน้าฉีกกระชากออกจนแหว่งวิ่น  ยุนกิก็จะเป็นคนที่หลอมรวมเขากลับดังเดิม

คนเดียวกันที่ทำร้าย.. คนเดียวกันที่รักษาเยียวยา..

 

ในระหว่างการเดินทางบนถนนความรักอันขื่นขม จองกุกกลับมายังจุดเริ่มต้นแสนหวานอีกครั้ง

.

.

 

ทุกครั้งที่ฝ่ายหนึ่งแพ้ อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชนะ

            จองกุกคิดมาตลอดว่ากฎเกณฑ์นี้ไม่อาจใช้กับความรักได้ เพราะเขาคิดว่ารักคือการปันใจให้กันและกันอย่างเท่าเทียม เกาะเกี่ยวฝ่ามือทั้งสองคู่อย่างแนบแน่นแล้วดำดิ่งล้ำลึกลงใต้เวิ้งน้ำกว้างใหญ่ด้วยกัน แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นเลย.. ไม่เลยสักอย่าง รู้สึกเหมือนเป็นเด็กโง่ที่ไม่เข้าใจเรื่องความรักเลยแม้เพียงนิด

 

เขากลายเป็นคนเดียวที่จมจ่อมลงไป และสิ่งเดียวที่คว้าจับไว้ได้มีเพียงฝ่ามือกว้างของยุนกิ

ครู่หนึ่งที่ช่วยดึงขึ้นมาให้สัมผัสอากาศเบื้องบน ความปราณีเล็กน้อยที่ต่อชีวิตคนใกล้ตายได้มหาศาล ครู่ถัดมาก็ผลักไสเขาลงใต้ผืนน้ำอีกครั้ง

 

ทำไมเราถึงไม่แพ้ด้วยกันทั้งคู่?

 

            สายตาเหม่อซึมมองสิ่งของกระจัดกระจายในตัวห้องอย่างเลื่อนลอย เก้าอี้ที่ตกกระเด็นไปอีกทาง เศษกระจกแหลกละเอียด  ภาพของความโกลาหลก่อนหน้านี้ถูกฉายวนในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานเท่านาน จองกุกขดกายนอนนิ่งบนโซฟาตัวเก่า ร่องรอยของน้ำตายังคงปรากฏบนใบหน้า

 

เขาพ่ายแพ้ยับเยินเป็นรอบที่ร้อย รอบที่พัน..

หรืออาจจะมากกว่านั้น

 

ทว่าเมื่อใครอีกคนเดินเข้ามา ย่อกายลงตรงหน้า แนบเรียวมืออบอุ่นลงบนผิวแก้ม เรียวมือข้างนั้นที่เคยกระทบกระแทกบนใบหน้าอย่างรุนแรงจนทิ้งรอยช้ำและความเจ็บแสบไว้ให้ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาแล้วประทับความนุ่มหยุ่นลงบนริมฝีปากที่ยังคงหลงเหลือแผลปริแตกและหยดเลือด

 

จองกุกตอบรับสัมผัสแผ่วจางนั้นด้วยความยินดี

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ขอบคุณบิ๊กฮิตค่ะฮือออออ ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากโปสเตอร์ที่ปล่อยมานั่นแหละค่ะ ฮืออออนี่มันไม่ใช่แค่โบรมานซ์แล้วม้างงงง *น้ำตาท่วมเรือ*

ปกติถ้าแคนน่อนปล่อยอะไรมาจัดเต็มแบบนั้นเรามักไม่ค่อยเขียนฟิคสนองอะค่ะ แต่คู่นี้แบบ.. ขอเหอะไม่ไหวแล้ว (ต่อให้จะชงแล้วพ่ายแพ้บฮก็ตาม ๕๕๕๕)

แท็ก #kwlfic เหมือนเดิมนะคะ 😀

 

[OS] Deep shade of blue (VKook)

Title: Deep shade of blue

Pairing: Kim Taehyung/Jeon Jungkook

Genre: Light-Angst, Hanahaki-disease (อาการของคนที่มีดอกไม้งอกขึ้นมาในปอด เกิดจากรักข้างเดียวหรือรักที่ไม่สมหวัง), AU – I Need You

Note: For #บังทันวันหยุด wk6: under the sea (มันคือฟิคแปลงจากฟิคดันเคิร์กก่อนหน้านี้ค่ะ)

 

 

Deep shade of blue

 

ความรักสามารถกรีดเถือและเชือดเฉือนหัวใจของคุณได้ดียิ่งกว่าคมมีดชนิดใด

            ความรักคืออาชญากรชั้นเลิศที่ย่องฝีเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้โอกาสได้ทันรู้ตัว เริ่มต้นด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน  ลวงตาด้วยความงดงาม หลอกล่อให้คุณเคลิบเคลิ้ม ได้สติอีกครั้งก็เมื่อตอนที่มันทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดและบาดแผลสาหัสสากรรจ์เอาไว้

 

เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว คุณจะไม่สามารถหลอมรวมเศษเสี้ยวหัวใจของคุณได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

            ภาพตรงหน้าของแทฮยองเป็นกำแพงอิฐมาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ นับตั้งแต่ที่เขาเลือกจะทอดทิ้งเสียงดนตรีอึกทึกนั่นแล้วพาตนเองมายังตรอกซอยคับแคบแห่งนี้  มันสงบและเงียบงันราวกับว่าประตูที่กั้นอยู่บานนั้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของสองโลก

            ตะเกียงคร่ำครึหนึ่งดวงบนกำแพงนั่นสาดแสงสีซีดจางทาทาบบนความมืดสลัว  ชายหนุ่มจรดมวนบุหรี่กับริมฝีปากอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเบนสายตาลงมองพื้นดินเบื้องล่าง ร่องรอยฉ่ำชื้นจากสายฝนที่สาดกระหน่ำเมื่อช่วงกลางวันยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น

 

เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากบานพับประตูดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมด้วยแสงสีส้มจากตัวร้านสว่างวาบในชั่วเวลาเสี้ยววินาที ปลายเท้าของใครอีกคนที่นั่งลงข้างกันปรากฏในครรลองสายตา  และเมื่อเขาเอี้ยวใบหน้าหันไปหาอีกฝ่าย ความยะเยือกรอบข้างก็ดูเหมือนจะร้อนรุ่มขึ้นทันใด

 

“ ข้างนอกมันหนาวนะ ”

 

“ ก็ฉันไม่ชอบคนเยอะๆเท่าไหร่ ” เขาว่าพลางยักไหล่

 

“ งั้นผมต้องขอรบกวนทำลายความสงบคุณสักครู่ ผมเองก็เริ่มเบื่อเสียงดังๆนั่นแล้วเหมือนกัน ” กลิ่นวิสกี้เจือจางคละเคล้ากลิ่นไอดินและควันบุหรี่หวานฉุน จองกุกเป่าลมหายใจเข้ากับฝ่ามือก่อนจะถูมันไปมาสร้างความอบอุ่น

 

            แทฮยองมองการกระทำนั่นอย่างนึกเอ็นดู  ความรู้สึกแปลกประหลาดกดทับในอกโดยไร้ที่ไปที่มา อากาศเย็นเยียบดูจะแทรกผ่านการหายใจเข้าไปได้ลำบากขึ้นเล็กน้อย เหมือนพบเจอดินแดนแสนไกลที่เขาตามหามาทั้งชีวิต  เหมือนกลีบดอกที่บานแย้มครั้งแรกเมื่อได้สัมผัสแสงแดด

 

เหมือนสิ่งที่เรียกว่าความรัก..

ความรักที่อาจไม่มีประโยชน์ใดนอกเสียจากการหลอกลวงและทุบทำลายหัวใจให้ย่อยยับซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

“ ขอไฟแช็กหน่อยสิ ” แพนิ้วนั่นขาวซีดจนเขาอยากกอบกุมมันไว้เพื่อช่วยคลายหนาว มันพยายามประคับประคองมวนบุหรี่ไว้แม้จะสั่นเทา

 

            จนท้ายที่สุดเหมือนคนตรงหน้าจะต้านทานความยะเยือกนี้ไม่ไหว คาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วซุกสองมือใต้เนื้อผ้า ในขณะที่เขาจุดไฟแช็ก เปลวเพลิงขนาดเล็กจรดกับปลายบุหรี่ที่รออยู่  วินาทีแสนสั้นที่แทฮยองจ้องมองทุกรายละเอียดบนใบหน้าของอีกฝ่าย  ลักยิ้มขนาดเล็กบนผิวแก้ม รอยแผลเป็นซีดจาง

 

หากเปรียบเทียบความรักเป็นผืนน้ำทะเลที่ไล่ระดับสีตามความลึกของมัน  ความรักคงเป็นส่วนที่สีน้ำเงินเข้มจัดที่สุด ลึกลับน่าค้นหา งดงามแต่แฝงด้วยอันตรายที่ไม่อาจรู้ และถึงแม้ใครจะรู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหน ก็ยังคงเลือกที่จะดั้นด้นค้นหาแล้วกระโจนตัวลงไป

 

เขาเก็บไฟแช็กเข้ากระเป๋าในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อีกคนเงยหน้าขึ้นมา ม่านควันสีจางลอยอ้อยอิ่ง ดวงตากลมโตคู่นั้นกลายเป็นภาพเลือนพร่าในชั่วขณะหนึ่ง

 

แทฮยองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องความรัก เพียงแต่ว่า.. รู้ตัวอีกทีเขาถูกเกลียวคลื่นรอบข้างซัดสาดจนจมจ่อมไปเสียแล้ว

ท้องทะเลเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุดที่เขานึกสงสัยว่าจะมีสักวันหรือเปล่าที่เขาเองจะสามารถโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้อีกครั้ง.. ท้องทะเลที่เป็นจุดกำเนิดของการเริ่มต้นและการทำลายเฉกเช่นที่ความรักกระทำ

 

มันท้นทะลักจนแทฮยองแทบหายใจไม่ออก

เขารู้สึกถึงมันรู้สึกถึงการมาเยือนของมัน

 

“ คุณเป็นแบบนี้กับทุกคนรึเปล่า? ”

“ ฉันเป็นยังไง? ”

“ เวลาที่ผมคุยกับคุณ มันเหมือนผมคุยกับกำแพง ”

 

แทฮยองเบือนหน้าไปอีกทาง  พยายามทนข่มอาการระคายในลำคอ “ ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน ” ที่เขาหลีกเลี่ยงการสนทนากับอีกฝ่ายมาตลอด เพราะไม่อยากให้จองกุกได้เห็นมัน.. เห็นอีกด้านที่น่ากลัวของความรัก

 

ให้มันตายไปกับเขาคนเดียวก็พอแล้ว

 

“ ฉันน่าจะเป็นแบบนี้กับนายคนเดียว ”

เขาพูดโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองคู่สนทนา จึงไม่อาจได้เห็นประกายเศร้าซึมในดวงตากลมคู่นั้น

 

“ คุณนี่มัน..

 

จองกุกชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนที่บรรยากาศจะถูกถมเต็มด้วยความเงียบงัน  อุณหภูมิโดยรอบเหมือนลดต่ำลงกว่าเดิมจนเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ  กำแพงความอึดอัดที่พวกเขาเผชิญคืบเคลื่อนเข้ามากดทับเรื่อยๆจนรู้สึกเหมือนหลงเหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว มันบีบรัดจนพูดอะไรไม่ออก

 

จนกระทั่งแทฮยองได้ยินเสียงบานประตูที่ถูกเปิดและปิดอย่างรุนแรง พื้นที่ข้างกายของเขากลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง  มันถึงจุดที่ทนความอัดอั้นไม่ไหวอีกแล้ว ชายหนุ่มไอโขลกจนตัวโยน ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะสงบลงได้

 

กลีบดอกแบบบางกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางส่วนของมันเจือแต้มด้วยสีแดงเข้มของเลือด

นี่แหละคือความรัก.. มันคือจุดล้ำลึกมืดมนที่สุดของท้องทะเล

เขามองมันแล้วแค่นหัวเราะ วินาทีนั้นเองเขาคิดว่าจองกุกช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย

 

ไม่รู้เลยจริงๆ

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

เห็นหัวข้อแล้วนึกถึงฟิคดันเคิร์กที่ลงไปอย่างรวดเร็ว แบบ.. มาช้าไป ฮืออออ สุดท้ายเลยต้องเอามาแปลงแบบนี้ทั้งที่ก็ไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ค่ะ TwT ปรับไปแล้วนิดนึงด้วยให้เข้ากับหัวข้อมากกว่าเดิม แฮะๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

แท็ก #kwlfic

[Dunkirk OS] Dead petals (Farrier/Collins)

Title: Dead petals

Pairing: Farrier/Collins

Genre: Light-Angst, Hanahaki-disease (อาการของคนที่มีดอกไม้งอกขึ้นมาในปอด เกิดจากรักข้างเดียวหรือรักที่ไม่สมหวัง), Slightly OOC

 

Dead petals

 

ความรักสามารถกรีดเถือและเชือดเฉือนหัวใจของคุณได้ดียิ่งกว่าคมมีดชนิดใด

            ความรักคืออาชญากรชั้นเลิศที่ย่องฝีเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้โอกาสได้ทันรู้ตัว เริ่มต้นด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน  ลวงตาด้วยความงดงาม หลอกล่อให้คุณเคลิบเคลิ้ม ได้สติอีกครั้งก็เมื่อตอนที่มันทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดและบาดแผลสาหัสสากรรจ์เอาไว้

 

เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว คุณจะไม่สามารถหลอมรวมเศษเสี้ยวหัวใจของคุณได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

            ภาพตรงหน้าของแฟริเออร์เป็นกำแพงอิฐมาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ นับตั้งแต่ที่เขาเลือกจะทอดทิ้งเสียงดนตรีและผู้คนในงานรื่นเริงนั่นแล้วพาตนเองมายังตรอกซอยคับแคบแห่งนี้  มันสงบและเงียบงันราวกับว่าประตูที่กั้นอยู่บานนั้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของสองโลก

            ตะเกียงคร่ำครึหนึ่งดวงบนกำแพงนั่นสาดแสงสีซีดจางทาทาบบนความมืดสลัว  ชายหนุ่มจรดมวนบุหรี่กับริมฝีปากอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเบนสายตาลงมองพื้นดินเบื้องล่าง ร่องรอยฉ่ำชื้นจากสายฝนที่สาดกระหน่ำเมื่อช่วงกลางวันยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น

 

เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากบานพับประตูดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมด้วยแสงสีส้มจากตัวร้านสว่างวาบในชั่วเวลาเสี้ยววินาที ปลายเท้าของใครอีกคนที่นั่งลงข้างกันปรากฏในครรลองสายตา  และเมื่อเขาเอี้ยวใบหน้าหันไปหาอีกฝ่าย ความยะเยือกรอบข้างก็ดูเหมือนจะร้อนรุ่มขึ้นทันใด

 

“ ข้างนอกมันหนาวนะ ”

 

“ ก็ฉันไม่ชอบคนเยอะๆเท่าไหร่ ” เขาว่าพลางยักไหล่

 

“ งั้นผมต้องขอรบกวนทำลายความสงบคุณสักครู่ ผมเองก็เริ่มเบื่องานนั่นแล้วเหมือนกัน ” กลิ่นวิสกี้เจือจางคละเคล้ากลิ่นไอดินและควันบุหรี่หวานฉุน คอลลินส์เป่าลมหายใจเข้ากับฝ่ามือก่อนจะถูมันไปมาสร้างความอบอุ่น

 

            แฟริเออร์มองการกระทำนั่นอย่างนึกเอ็นดู  ความรู้สึกแปลกประหลาดกดทับในอกโดยไร้ที่ไปที่มา อากาศเย็นเยียบดูจะแทรกผ่านการหายใจเข้าไปได้ลำบากขึ้นเล็กน้อย เหมือนพบเจอดินแดนแสนไกลที่เขาตามหามาทั้งชีวิต  เหมือนกลีบดอกที่บานแย้มครั้งแรกเมื่อได้สัมผัสแสงแดด

 

เหมือนสิ่งที่เรียกว่าความรัก..

ความรักที่อาจไม่มีประโยชน์ใดนอกเสียจากการหลอกลวงและทุบทำลายหัวใจให้ย่อยยับซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

“ ขอไฟแช็กหน่อยสิ ” แพนิ้วนั่นขาวซีดจนเขาอยากกอบกุมมันไว้เพื่อช่วยคลายหนาว มันพยายามประคับประคองมวนบุหรี่ไว้แม้จะสั่นเทา

 

            จนท้ายที่สุดเหมือนคนตรงหน้าจะต้านทานความยะเยือกนี้ไม่ไหว คาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วซุกสองมือใต้เนื้อผ้า ในขณะที่เขาจุดไฟแช็ก เปลวเพลิงขนาดเล็กจรดกับปลายบุหรี่ที่รออยู่  วินาทีแสนสั้นที่แฟริเออร์จ้องมองทุกรายละเอียดบนใบหน้าของอีกฝ่าย  ลักยิ้มขนาดเล็กบนผิวแก้ม แพขนตาสีอ่อน

 

เขาเก็บไฟแช็กเข้ากระเป๋าในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อีกคนเงยหน้าขึ้นมา ม่านควันสีจางลอยอ้อยอิ่ง ดวงตาสีฟ้าซีดคู่นั้นกลายเป็นภาพเลือนพร่าในชั่วขณะหนึ่ง

 

มันคือท้องทะเลเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุดที่เขานึกสงสัยว่าจะมีสักวันหรือเปล่าที่เขาเองจะสามารถโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้ เพราะเขาถูกเกลียวคลื่นรอบข้างซัดสาดจนจมจ่อมมาเนิ่นนานเหลือเกิน

 

มันท้นทะลักจนแฟริเออร์แทบหายใจไม่ออก

เขารู้สึกถึงมันรู้สึกถึงการมาเยือนของมัน

 

“ คุณเป็นแบบนี้กับทุกคนรึเปล่า? ”

“ ฉันเป็นยังไง? ”

“ เวลาที่ผมคุยกับคุณ มันเหมือนผมคุยกับกำแพง ”

 

แฟริเออร์เบือนหน้าไปอีกทาง  พยายามทนข่มอาการระคายในลำคอ “ ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน ” ที่เขาหลีกเลี่ยงการสนทนากับอีกฝ่ายมาตลอด เพราะไม่อยากให้คอลลินส์ได้เห็นมัน.. เห็นอีกด้านที่น่ากลัวของความรัก

 

ให้มันตายไปกับเขาคนเดียวก็พอแล้ว

 

“ ฉันน่าจะเป็นแบบนี้กับนายคนเดียว ”

เขาพูดโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองคู่สนทนา จึงไม่อาจได้เห็นประกายเศร้าซึมในดวงตากลมคู่นั้น

 

“ คุณนี่มัน..

 

คอลลินส์ชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนที่บรรยากาศจะถูกถมเต็มด้วยความเงียบงัน  อุณหภูมิโดยรอบเหมือนลดต่ำลงกว่าเดิมจนเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ  กำแพงความอึดอัดที่พวกเขาเผชิญคืบเคลื่อนเข้ามากดทับเรื่อยๆจนรู้สึกเหมือนหลงเหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว อึดอัดจนพูดอะไรไม่ออก

 

จนกระทั่งแฟริเออร์ได้ยินเสียงบานประตูที่ถูกเปิดและปิดอย่างรุนแรง พื้นที่ข้างกายของเขากลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง  มันถึงจุดที่ทนความอัดอั้นไม่ไหวอีกแล้ว ชายหนุ่มไอโขลกจนตัวโยน ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะสงบลงได้

 

กลีบดอกแบบบางกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางส่วนของมันเจือแต้มด้วยสีแดงเข้มของเลือด

เขามองมันแล้วแค่นหัวเราะ วินาทีนั้นเองเขาคิดว่าคอลลินส์ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย

 

ไม่รู้เลยจริงๆ

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ฉันมาทำอะไรที่นี่ *นอนร้องเป็นวาฬเกยตื้นที่หาดดันเคิร์ก*

 

แท็ก #kwlfic