[SF] The path of the past (GaKook)

Title: The path of the past

Pairing: Min Yoongi/Jeon Jungkook

Genre: Angst, Hurt/Comfort (Warning: Rape/Non-con, Graphic Violence)

 

The path of the past

 

ถ้าหากคุณย้อนเวลากลับไปได้  คุณอยากแก้ไขอะไร?

            ชีวิตของมินยุนกิไม่ใช่เส้นทางที่ราบเรียบนัก  มีทั้งเรื่องดีร้ายปะปนกันไป  แต่ส่วนใหญ่มันมักเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลายต่อหลายครั้งที่เขามองไปข้างหน้าและไม่รู้ว่าควรจะพาตนเองไปที่ใด หลายต่อหลายครั้งที่เขามีความคิดว่าควรยกเลิกแล้วยอมแพ้เสียที

 

ยุนกิเคยนึกอยากย้อนเวลากลับไปให้ตัวเองก้าวตามทางที่ใครคนอื่นกำหนดไว้ ไม่ใช่วิ่งไล่ตามความฝันลางเลือนเหมือนคนโง่เง่า

            ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันผลักดันให้เขาสู้ต่อ แลกมาหลายอย่างกว่าจะได้เป็นโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นในทุกวันนี้  แลกแม้กระทั่งตัวตนของเขาเอง  วันเวลาแห่งความพยายามยิ่งล่วงเลยมานานเท่าไหร่ กำแพงในใจก็ยิ่งก่อตัวขึ้นสูงลิบ ยากที่จะเปิดรับให้ใครอื่นผ่านเข้ามา

 

กระทั่งเขาได้เจอกับจองกุก

 

            เด็กหนุ่มเจ้าของฟันกระต่ายน่ารักที่นำเอาความรู้สึกเคยคุ้นซึ่งยุนกิแทบจะหลงลืมมันไปเสียแล้วกลับมา ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ทรงพลังล้นเหลือจนสามารถข้ามผ่านกำแพงนั่นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย โดยที่มันไม่จำเป็นจะต้องพังทลายลงมา มันยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น ไม่ปรากฏแม้รอยร้าวใด เพียงแต่ว่า.. เมื่อเป็นจองกุกแล้ว กำแพงแห่งนั้นเหมือนไม่เคยมีอยู่

 

จอนจองกุกคือข้อยกเว้นสำหรับมินยุนกิ

ข้อยกเว้นที่ทำให้เขาก่อกำแพงสูงกว่าเก่าเพื่อป้องกันอีกฝ่ายจากอันตรายทั้งปวง

 

ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้..

 

“ คุณจอน จองกุกค่ะ ” เสียงของพยาบาลสาวเรียกดังขึ้นมา เขาหันมองเจ้าของชื่อข้างกาย เลื่อนเรียวมือเข้ากอบกุม ผ่อนแรงลงเมื่อพบว่าอีกคนชะงักนิ่งเนื่องด้วยยังคงไม่อาจคุ้นชินกับการสัมผัส

 

“ กุกอา ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ”

 

ความตื่นกลัวที่ฉายชัดภายในนัยน์ตากลมโตหมองหม่นมันยิ่งตอกย้ำให้เขาตระหนักว่าความอ่อนหวานล้ำลึกที่เขาเคยรู้จักมันขื่นขมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นับตั้งแต่เหตุการณ์ระยำบัดซบที่ไอ้สารเลวคนหนึ่งได้ก่อกระทำขึ้นมา

 

ถ้าเขารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะลงเอยแบบนี้

.

.

 

            ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอสมาร์ทโฟนบ่งบอกเวลาล่วงเลยมานานโขนับจากครั้งสุดท้ายที่ยุนกิมองมัน  การใช้ความคิดในการเขียนเพลงเป็นจำนวนถึงสี่เพลงสามารถรีดเค้นพลังให้เขาเหน็ดเหนื่อยแทบจะเทียบเท่าการวิ่งมาราธอนทีเดียว นึกประหลาดใจเล็กน้อยที่วันนี้เด็กตากลมของเขายังไม่ติดต่อหากันเสียที

หากแต่มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องมากังวลใจ จองกุกอาจจะแค่เข้านอนเร็ว อีกฝ่ายเป็นคนมีเหตุผลมากพอที่จะไม่โกรธเคืองกันแบบไร้ที่ไปที่มาและชาชินกับการทำงานหามรุ่มหามค่ำของเขาไปแล้ว

 

จนเมื่อนัมจุนผู้เป็นเพื่อนร่วมงานชงกาแฟแก้วที่สองมาให้  บนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารก็ปรากฏเป็นชื่อจองกุกติดต่อเข้ามา

 

ยุนกิเกือบจะเอ่ยคำทักทายอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว หากทว่า..

 

“ พ..พี่ยุนกิ..

ในตอนนั้นเขานึกว่าเสียงสะอื้นของจองกุกเกิดจากอาการฝันร้าย

 

“ ช..ช่วย ช่วยผมด้วย..

แต่ไม่ใช่เลย สาเหตุมันร้ายแรงกว่านั้นมากโข           

.

.

           

            ผลตรวจเลือดครั้งที่สองของจองกุกนั้นปรากฏเป็นปกติ เขาพาอีกคนมาตรวจซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าปราศจากโรคติดต่อนั่นจริง ผลที่ได้รับพอจะทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในอกบรรเทาลงไปได้บ้าง ลำพังเพียงแค่สิ่งที่อีกคนพบเจอในก่อนหน้าก็รุนแรงมากพออยู่แล้ว

 

ร่องรอยบอบช้ำบนเรือนกายนั้นพอจะรักษาจนมันจางหายไปได้มากแล้ว แต่ในด้านจิตใจนั้น.. ยุนกิรู้ดีว่ามันไม่มีทางเยียวยาจนหายสนิท  มันแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาและฝันร้ายที่เขาต้องคอยปลอบประโลมอยู่ทุกค่ำคืน

 

จองกุกถูกข่มขืน

มันเหมือนคำสาปที่สลักลึกเป็นตราบาปในใจและไม่มีวันลบล้างมันออก

 

            ยุนกิจรดปลายมวนบุหรี่เข้าปากริมฝีปากอีกครั้งหนึ่ง กลิ่นหวานฉุนคุ้นเคยและควันสีจางกลายเป็นเพื่อนยามยากคนใหม่ของเขา แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่มันมอบให้คือความผ่อนคลายชั่วครั้งชั่วคราวก็เท่านั้น ขอแค่ช่วยจากหลบเลี่ยงจากความหวาดกลัวและอาการปวดแปลบทางใจนั่น แค่เพียงเวลาเล็กน้อยก็ยังดี

 

ม่านควันเจือจางลอยอ้อยอิ่งเชื่องช้าตามแรงลมหายใจ

นัยน์ตาเรียวรีจับจดกับประกายไฟริบหรี่บนยอดปลายของมัน

 

ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้..

 

“ พี่ไม่น่าต้องมาลำบากเพราะผม ”

เสียงนั่นสั่นพร่า และเมื่อยุนกิเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย จ้องลึกเข้าไปในแววตาที่มันกรีดร้องว่าแหลกสลาย แรงบีบเค้นกลางอกก็ดูจะเพิ่มกำลังมากขึ้นจนเขาอึดอัด เหมือนถูกถ่วงลงให้จมจ่อมใต้ผืนน้ำแสนเศร้าและไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้

 

เขาอยากย้อนเวลาไปแก้ไขไม่ให้เรื่องราวพวกนี้เกิดขึ้นกับจองกุก

 

“ ไม่เป็นไรหรอกจองกุก มันไม่เป็นไร ” โปรดิวเซอร์หนุ่มไม่มีคำพูดอื่นนอกเสียจากคำปลอบใจที่เป็นเหมือนเม็ดยาจอมปลอมซึ่งไม่เคยออกฤทธิ์รักษาอาการใด

 

เลื่อนปลายนิ้วขึ้นปาดเอาน้ำตาที่หยดร่วงลงบนผิวแก้มนั่นออก เขารู้สึกได้ถึงรอยแยกร้าวในแต่ละสัมผัสที่ละไล้ลากผ่าน การทุบทำลายอย่างสาหัสในอดีตทำให้จองกุกแตกหักกลายเป็นเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่สามารถหล่อหลอมดังเดิมได้

 

“ นายจะผ่านมันไปได้ ” เราต้องผ่านมันไปให้ได้

 

เศษแก้วที่อาจบาดเข้าเนื้อจนได้เลือด ทิ้งรอยแผลและความเจ็บแสบไว้ให้

แต่ยุนกิจะยังคงประคับประคองมันไว้อย่างทะนุถนอมต่อไป

 

เพราะในชีวิตนี้เขาสูญเสียอะไรไปตั้งหลายต่อหลายอย่าง เขาจะไม่มีวันยอมสูญเสียจองกุกไปอีกคนเป็นอันขาด

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

ถ้าหากคุณย้อนเวลากลับไปได้  คุณอยากแก้ไขอะไร?

            จองกุกคิดมาตลอดว่าโลกใบนี้คือการไล่ระดับสีจากสีขาวไปยังสีดำ แต่ละเวลาของชีวิตที่ผัดผ่านอาจทำให้เราพบทั้งจุดที่เป็นสีขาวสว่างที่สุดและจุดที่เป็นสีดำมืดมนที่สุด หรืออาจพบเพียงสีเทาที่ผสมทั้งสองสีนั้นไว้อย่างกลมกลืน

 

เขาคิดเพียงว่าแค่เอาตัวให้ออกห่างจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายบนโลกก็พอจะให้ตนเองรอดปลอดภัย

ไม่เคยคาดนึกถึงวินาทีที่มันพุ่งชนเข้ามา ทำให้เขาจมดิ่งสู่ความมืดมนอนธกาล

 

            มันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่ยุนกิจะขลุกอยู่ในสตูดิโอเพื่อทำเพลงเป็นเวลาข้ามวันข้ามคืน หลายครั้งก็มีนัมจุนหรือไม่ก็โฮซอกมาร่วมงานด้วยบ้าง และหลายครั้งจองกุกเองก็จะแวะไปเยี่ยมเยือนแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหนก็ตามแล้วกลับพร้อมกันกับอีกฝ่ายในเช้าวันถัดมา

            เขาไม่เคยนึกถือสากับการทุ่มเทในงานของอีกคนนักหรอก ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เวลาที่ใช้ร่วมกันลดน้อยลงไปบ้าง หากแต่จองกุกคิดว่าเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามปรามฝ่ายนั้น นี่คือสิ่งที่ยุนกิรักและทุ่มเทแทบจะทั้งชีวิตให้  ถ้ามันทำให้ยุนกิมีความสุข เขาเองก็มีความสุขเช่นกัน

 

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันธรรมดาที่จองกุกจะแวะไปหาอีกฝ่าย

            มันเป็นเวลาดึกสงัด.. ความพลุกพล่านวุ่นวายสร่างซาลงไปมากโขเมื่อเทียบกับช่วงกลางวัน เหลือเพียงผู้คนบางส่วนที่ออกมารื่นเริงยามราตรีไม่ก็คนที่เปลี่ยนกะเวลาทำงาน  เด็กหนุ่มเยื้องย่างไปตามบาทวิถีตามปกติ เรียวปากพึมพำเนื้อเพลงที่ดังก้องจากหูฟัง

 

จนเขาไม่อาจรู้ถึงบางอย่างที่คืบเคลื่อนตามติดจากข้างหลัง

 

            รู้ตัวอีกทีแรงกระชากปริศนาก็ดึงดันเขาไปยังถิ่นที่เปลี่ยวร้าง  มือหยาบกร้านตะปบแน่นกับซีกหน้าล่างจนเสียงร้องของเขากลายเป็นเสียงอู้อี้แผ่วเบา ความตื่นตระหนกที่ตีตื้นขึ้นทำให้จองกุกดิ้นรนจนสุดกำลัง  ฝ่ามือและท่อนแขนนั่นยิ่งรัดแน่นแทบทำให้เขาหายใจไม่ออก

            มันเหวี่ยงเขากับผนังอิฐอย่างแรง ความเจ็บร้าวแล่นริ้วทั่วแผ่นหลังจนเขาเบ้หน้า ครั้นพอจะเหวี่ยงหมัดหรือผลักมันออกเพื่อสู้กลับบ้าง ใครอีกคนก็พุ่งตรงเข้ามา ดันร่างเขาติดผนังอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกระแทกกำปั้นเข้ากลางท้อง หมัดที่สองซึ่งตามมาติดๆทำให้เขาร่วงลงพื้น นอนขดตัวสิ้นเรี่ยวแรง

 

จองกุกไม่เคยโดนต่อยแบบนี้มาก่อน มันเจ็บจนเสียงที่เปล่งกลายเป็นเสียงครวญหวิว

ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าไม่อาจสู้แรงของผู้ชายที่ตัวโตกว่าสองคนนี้ได้

 

เขาพยายามเค้นคำพูดต่อรองพวกมัน  “ ต..ต้องการอะไร กระเป๋าตังค์กับมือถือ คุณ.. คุณเอาไปได้เลย ”

 

อีกแค่นิดเดียว.. เพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงสตูดิโอของยุนกิอยู่แล้วเชียว เขายังไม่อยากตาย

 

“ ฉันไม่ได้จะมาปล้นหรอกเด็กน้อย ” มันคนหนึ่งว่า คลี่รอยยิ้มประหลาดที่ชวนขยะแขยง

 

“ ฉันต้องการอย่างอื่น ”

.

.

 

            ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความหวาดผวา  ชีพจรเต้นถี่จนน่ากลัว ผนังและเพดานในตัวห้องที่เคยคุ้นไม่สามารถช่วยลดทอนความหวั่นวิตกลงไปได้เลย เครื่องนอนนุ่มฟูที่ห่อหุ้มเรือนกายเป็นอย่างดีกลับไม่ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ความยะเยือกยังคงจับแน่นที่ขั้วหัวใจอยู่อย่างนั้นจนจองกุกต้องขดร่างสะท้านแล้วหลับตาแน่น

 

หายใจเข้าลึกๆช้าๆ  ปลอดภัยแล้ว

ยุนกิอยู่ตรงนี้และจะไม่มีอะไรทำร้ายเขาได้อีก

 

            เขาพยายามปลอบใจตนเองซ้ำไปซ้ำมา พยายามกลบฝังภาพอดีตอันแสนทารุณแล้ววิ่งหนีออกมา ทว่าเพียงนิดเดียวที่จองกุกพลั้งเผลอ  มันก็กระโจนกลับมารัดเขาไว้จนแน่นหนาราวจะย้ำเตือนกันให้รู้ว่ามันไม่เคยไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมให้คลุ้มคลั่ง

 

เพียงวูบเดียวเท่านั้น เขาก็กลับไปอยู่ในโถงทางเปลี่ยวร้างนั่นอีกครั้ง  ทั้งแรงทุบตีที่บังคับให้เขาหยุดดิ้นรนขัดขืน การขบเม้มและดูดดึงจนทิ้งร่องรอยน่ารังเกียจไปทั่วร่าง คราบเหนียวเหนอะที่เปรอะเปื้อนต้นขาด้านใน มันชัดเจนเหมือนกำลังเกิดขึ้นอยู่จริง

 

“ ย..หยุด ได้โปรด ”

 

จองกุกคว้าข้อมือของตนไว้ จับแน่นจนเล็บจิกเข้าผิวเนื้อ ลมหายใจกระชั้นถี่แทบควบคุมไม่ได้  ภาพตรงหน้าพร่าเลือน  ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องจนลำคอเจ็บแสบของตนเอง

 

“ กุกอา! จองกุก!

 

ช่วยด้วย พี่ยุนกิ ใครก็ได้..

 

“ พี่อยู่นี่ ชู่วว์ ไม่เป็นไรแล้ว ”

 

พอได้แล้ว หยุดมันเสียที

 

“ จองกุก ได้โปรด.. หายใจเข้าลึกๆ ”

 

            เขากลับมายังห้องนอนคุ้นตาแห่งนี้ ฝ่ามือกว้างทาบทับบนแผ่นอกช่วยกำกับจังหวะการหายใจไม่ให้มันเร็วถี่กว่าที่ควร ในห้วงนาทีแห่งความอ่อนล้านั้นเอง จองกุกเห็นบางอย่าง เขาเห็นดวงตาเรื่อแดงที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำของคนตรงหน้า

 

มินยุนกิที่แทบจะไม่เคยเสียน้ำตาให้กับสิ่งใดกำลังร้องไห้เพราะเขา..

 

“ พ..พี่ พี่ยุนกิ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ”

 

จองกุกสะอื้นไห้  พร่ำคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกอย่างมันไม่ควรเป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าในวันนั้นเขาไม่ไปหาอีกฝ่ายที่สตูดิโอในเวลาดึกดื่นแบบนั้น  ถ้าหากวันนั้นเขาจะระมัดระวังสิ่งรอบข้างสักนิด

 

ถ้าหากว่า..

 

“ ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดของนาย ” วันนี้พวกเขาทั้งคู่ก็คงไม่ต้องทุกข์ระทมกับเรื่องราวเจ็บปวดแบบนี้  สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงทำใจยอมรับในสิ่งที่มันเป็นไป

 

ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้..

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ในที่สุดความยาวฟิคก็เพิ่มเป็นช็อตฟิคเสียทีค่ะ เป็นฟิคที่รีดเค้นทั้งพลังงานและจิตใจเราพอสมควรเลย

..แล้วก็ ร..เราขอโทษเมนคู่นี้ทุกคนด้วยค่ะ ฮืออออ *วิ่งหนี*

ติดแท็กฟิค #kwlfic บอกรีแอคชั่นหรือเม้นท์ในนี้ก็ได้ตามเดิมนะคะ ;w; (ปล.ขอความกรุณานิดนึงค่ะว่าไม่เอาความเห็นแนว victim blaming นะคะ บทน้องในฟิคไม่ผิดค่ะ และน้องเจ็บมาพอแล้วด้วย)

 

 

[OS] Clingy boyfriend (VKook)

Title: Clingy boyfriend

Pairing: Kim Taehyung/Jeon Jungkook

Genre: Fluff

 

Clingy boyfriend

 

การนอนไม่หลับน่าหงุดหงิดเสมอ

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับแทฮยอง  นัยน์ตาเบิกโพลงสบมองเพดานเบื้องบนที่ฉาบทับด้วยความมืดสลัว  เขาพลิกกายเป็นท่าตะแคงรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้  มองเห็นตัวเลขดิจิตอลบ่งบอกเวลาดึกสงัดบนหน้าจอสี่เหลี่ยมแล้วได้แต่ทอดถอนหายใจ

 

กว่าจะให้ความง่วงงุนคืบเคลื่อนเข้ามาคงใช้เวลาอีกนานโข

และเสียงความคิดที่กระจัดกระจายในความเงียบงันก็น่ารำคาญเป็นที่สุด

 

“ โถ่เว้ย ” เขาผุดลุกขึ้นในท่านั่ง เริ่มมองหาตัวช่วย จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

 

            คว้าผ้านวมขึ้นมา  ก่อนจะเดินไปยังอีกฟากฝั่งของตัวห้อง สิ่งที่เห็นตรงหน้ายิ่งก่อความหงุดหงิดมากกว่าเก่า  ผ้าปูเรียบตึงกับพื้นที่เตียงว่างเปล่าซึ่งถูกยึดด้วยบรรดาตุ๊กตาคุณไรอันไปเกือบครึ่งบ่งบอกว่าเจ้าของของมันไม่อยู่  แทฮยองเพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนั้นว่าคืนนี้นัมจุนคงขลุกอยู่ในสตูดิโอยันรุ่งเป็นแน่

 

เขานอนไม่หลับและต้องการใครสักคนเพื่อกอดก็เท่านั้น

..จนตอนนี้เขาเหลือตัวเลือกสุดท้ายแล้ว

.

.

 

            มันเหมือนเหตุการณ์วนซ้ำจนหลงลืมการนับรอบของมันไปแล้ว แทฮยองย่างฝีเท้าอย่างเงียบเชียบมาหยุดยังปลายเตียงที่คุ้นเคย  มองจองกุกที่ขดกายพริ้มตาหลับอย่างน่าเอ็นดูนั่นแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่ง  ความเกรงใจท่วมท้นจนต้องชั่งตวงความต้องการของตนเองอยู่ครู่ใหญ่

            ท้ายที่สุดเมื่อตัดสินใจได้ เขาจึงทิ้งผืนผ้านวมและตัวลงกับพื้นที่ข้างเตียง  ไม่อยากตรงเข้าไปทำลายความสงบนั่นแค่เพราะความเอาแต่ใจของเขา

 

การนอนบนพื้นแข็งๆนี่อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก

แต่การมีจองกุกอยู่ไม่ห่างก็ดีกว่าความเดียวดายบนเตียงนุ่มเป็นไหนๆ

 

จองกุกเป็นเหมือนสารเสพติดชนิดรุนแรงบางอย่างที่ซาบซึมในกระแสเลือด  ก่อเป็นพลังดึงดูดที่ชวนให้เขาย้ำซ้ำอยากสัมผัสไม่รู้จบ  หลงใหลเกินจะถอดถอนมันออกได้ 

 

“ พี่แทฮยอง.. ” คนอายุน้อยกว่าตื่นขึ้นจนได้  ฝ่ายนั้นเขยื้อนตัวเล็กน้อยจนสามารถมองเห็นจากบนเตียงนั่น  “ พี่ลงไปทำอะไรตรงนั้นน่ะ ”

 

“ ขอโทษที่ทำให้ตื่น  ไม่มีอะไรหรอก นายนอนเหอะ ” แทฮยองกดระดับเสียงจนแทบเป็นการกระซิบ  เขาไม่อยากรบกวนจีมินและโฮซอกเพิ่มเติมไปอีก

 

มันเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้งในค่ำคืนก่อนหน้า

 

“ แล้วกุกจะให้พี่นอนแบบนั้นได้ไงล่ะ  มาเร็ว  ขึ้นมา ”

 

แล้วมันก็จบลงแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง

 

            เริ่มจากแรงยวบของฟูกนุ่มจากน้ำหนักของเขาที่ทาบทับเพิ่มเติมลงไป  คลุมด้วยผ้านวมอีกผืนหนึ่ง  ความอบอุ่นชวนผ่อนคลายก่อตัวขึ้นในพื้นที่เล็กน้อยแห่งนี้   หมอนหนุนใบเดิมพร้อมด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มคละเคล้ากับกลิ่นทรีทเม้นท์หวานนุ่มที่คุ้นชินอวลกระจายในเนื้อผ้า

 

แทฮยองเคลื่อนท่อนแขนโอบล้อมอีกคนไว้อัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต  แพนิ้วสอดเข้ากลุ่มผมสีเข้มนิ่มมือ ละไล้ด้วยสัมผัสแผ่วจาง

จองกุกกลายเป็นตุ๊กตากระต่ายตัวโตที่ช่วยให้เขาหลับฝันดีในแต่ละคืน

 

“ เคยรำคาญฉันมั้ยเนี่ย? ”

 

            ดวงตากลมโตปรือขึ้น ความมืดดำชวนให้ว่ายวนนั่นห่างเพียงแค่คืบ  ฝ่ายนั้นคลี่รอยยิ้มเล็กน้อย  “ คิดมากหน่า ใครมันจะรำคาญกัน ” แรงดึงดูดแปลกประหลาดออกฤทธิ์อีกครั้ง เขามองภาพตรงหน้าเหมือนมันเป็นสิ่งยวนตาที่สุดในชีวิต

 

จนกระทั่งศีรษะนั่นเอนมาซบบนแผ่นอก  “ กุกเองก็ชอบให้พี่แทกอดเหมือนกันนั่นแหละ ”

 

สองกายแนบชิดติดกันจนแทบไร้พื้นที่ว่างหลงเหลือ  เสียงชีพจรของคนทั้งคู่ดังแผ่วเป็นเพลงกล่อมชั้นดีที่ชวนให้ร่วงหล่นในภวังค์หลับใหล

..แทฮยองหวังให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งในวันถัดไป

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

เหตุเกิดจาก bon voyage ค่ะ เห็นพฤติกรรมการนอนแทแล้วเอ็นดูเหลือเกิน  สมเป็น clingy boyfriend มากๆ ใครได้เป็นแฟนคงโดนกอดจนน่าอิจฉาแน่ๆ ฮื่ออออ

แทบไม่ได้เขียนฟลัฟเลย  สุดๆคงได้ประมาณนี้อะค่ะ สั้นไปหน่อยขอโทษด้วยนะคะ TwT

 

แท็ก #kwlfic 

[OS] Stop and rewind (Stony)

Title: Stop and rewind

Pairing: Tony Stark/Steve Rogers

Genre: Hurt/Comfort, Fix-it

 

Stop and rewind

 

หลายครั้งที่ผมเคยคิดว่า.. ถ้าผมไม่ใช่ไอร์อ้อนแมน และคุณไม่ใช่กัปตันอเมริกา  ถ้าผมเป็นแค่โทนี่ สตาร์ค คุณเป็นแค่สตีฟ โรเจอรส์  ถ้าเราไม่ใช่เราในแบบที่เป็นตอนนี้  ทิศทางความรักของเราจะเป็นไปในทางใด? มันจะเรียบง่ายหรือยุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า?

 

เราอาจเป็นคู่รักที่แตกต่างกันที่สุดในโลกก็เป็นได้

ซึ่งบางครั้งความแตกต่างทำให้เราเข้ากันได้ดีเหมือนจิ๊กซอว์  บางครั้งก็เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันผสมเป็นเนื้อเดียวกันได้

 

แต่ถ้าคุณไม่ใช่กัปตันอเมริกา คุณก็คงไม่สามารถนอนแช่แข็งเป็นเวลาหลายสิบปีแบบนั้นได้แน่  อืม.. งั้นจะคิดซะว่าคุณคงเป็นนักศึกษาปริญญาโทจากคณะทางด้านศิลปะก็แล้วกันนะ

 

            งานอดิเรกยามว่างของเราคงไม่ใช่การช่วยกอบกู้โลกจากทั้งคนในโลกและต่างดาวอีกต่อไป(จริงๆไม่อยากเรียกมันว่างานอดิเรกนักหรอก มันเป็นหน้าที่ที่ผมปฏิเสธไม่ได้น่ะ)  ผมคงขลุกอยู่แต่ในห้องทดลอง ประดิษฐ์ของเล่นไปเรื่อยเปื่อย  มีคุณแวะเวียนลงมาเยี่ยมเยือนบ้าง  คอยเตือนเรื่องมื้ออาหารกับเวลานอน

            เดทของเราก็คงเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะสักที่ที่คุณชอบ  ผมไม่ค่อยเข้าถึงเรื่องพวกนั้นเท่าไหร่หรอก  แต่ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณรัก  มันก็เริ่มจะน่าสนใจขึ้นมาบ้าง

 

อันที่จริงมันก็ไม่ค่อยแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้เท่าไหร่

แต่เมื่อมีการเป็นยอดมนุษย์มาครอบคลุมความสัมพันธ์ของเราแล้ว  คงต้องยอมรับว่ามันต่าง

 

            เราทั้งคู่ต่างมีบาดแผลทางใจ และมันไม่เคยถูกเยียวยาจนกลายเป็นร่องรอยแผลเป็น  มันถูกกรีดลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อเป็นน้ำตาและฝันร้ายที่ตามติดไม่รู้จักจบสิ้น  เราไม่อยากให้ใครอื่นต้องมาเป็นอย่างที่เรากำลังเผชิญ  ต้องการให้โลกใบนี้ดีกว่าเก่า

 

เราตั้งตัวเองเป็นเกราะกำบังความเลวร้าย  เป็นที่พึ่งทางใจให้ผู้คน

แต่เราก็เป็นมนุษย์ที่เปราะบางและต้องการที่พึ่งไม่ต่างกัน  นั่นทำให้เราจำเป็นต้องมีกันและกันยึดเหนี่ยวไว้

 

“ ไว้คุณเข้าใจเหตุผลเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน ”

 

ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน  มันไม่มีไอร์อ้อนแมน  ไม่มีกัปตันอเมริกา  มีเพียงแค่โทนี่กับสตีฟ  เป็นคนธรรมดาสองคนที่ไม่ลงรอยกันในบางเรื่องตามประสาคนรัก

 

“ โอเคแคป  คราวนี้ฉันรู้ว่าฉันผิด ”

 

            เราพร้อมจะแตกสลายได้ง่ายกว่าที่คิด  ความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งทำให้ผมกับคุณกระทบกระทั่งกันได้แม้แต่กับเรื่องนิดเดียว หลายครั้งหลายคราวที่เราอยากจะเดินแยกบนเส้นทางความสัมพันธ์  ชั่วครู่ของความคิดที่อยากให้มันหยุดลงตรงนี้  แต่ในเมื่อเส้นทางข้างหน้านั้นมันยังไม่เป็นทางตัน  ผมยังอยากประคับประคองกันและกันไว้แล้วไปต่อ

 

แค่เพียงต้องขอเวลาพักสักครู่  ทิ้งทิฐิออกไปให้พ้นทาง

 

“ ขอโทษ สัญญาว่าฉันจะไม่ทำแล้ว ”

 

บางครั้งเส้นทางความรักก็อาจเป็นวงกลม  เราอาจมีจุดก็ขื่นขมจนอยากหนีไปให้ไกล แต่ถ้าเราปรับความเข้าใจที่บิดเบี้ยว สุดท้ายมันจะวนกลับมายังจุดที่ความรักท่วมท้นสูงสุด ซึ่งเราผ่านจุดนั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

 

และถ้ามีครั้งหน้าอีก.. ผมสัญญาว่ากอดคุณให้ชิดกว่าเดิม  จะจับมือคุณให้แน่นกว่าเดิม

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ไม่ได้เขียนฟิคคู่เรือหลวงนานมากค่ะโฮรววว  มาแบบสั้นๆด้วย (ปั่นด้วยความวูบค่ะถถถ)

ในเวิร์สหนังทะเลาะกันเยอะแล้ว ในฟิคนี้เลยให้ทะเลาะกันแค่นี้ก็พอเนอะคะ ๕๕๕

 

แท็ก #kwlfic

[OS] I didn’t fall, I jumped. (GaKook)

Title: I didn’t fall, I jumped.

Pairing: Min Yoongi/Jeon Jungkook

Genre: Mild smut

 

I didn’t fall, I jumped.

 

ในบางครั้งการแยกแยะระหว่างความรักและความหลงมันก็ยากเย็นนัก

            มีคนเคยนิยามความรักไว้หลากหลาย  บ้างก็ว่ามันคือความวุ่นวายยุ่งเหยิงของชีวิตที่งดงามยิ่งกว่าประติมากรรมใด  บ้างก็ว่ามันคือการถูกเฆี่ยนตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าสลับกับการตระกองกอดไว้อย่างทะนุถนอม เหมือนตกนรกและขึ้นสวรรค์ในคราวเดียวกัน

 

สำหรับผมแล้วความรักอาจหมายถึงคุณ

และการที่ผมยอมตามเข้ามาในห้องของคุณก็อาจเป็นผลข้างเคียงของความรัก

 

            คุณที่แสนจะอันตรายและร้ายกาจ.. สายตาคมกริบของคุณมองมา  มันมืดทึบราวกับหุบเหวไร้จุดสิ้นสุด  คลุมไว้ด้วยม่านหมอกแห่งราคะ  มันสำรวจผมตั้งแต่ใบหน้าแล้วเลื่อนลงมา  ทั้งที่ยังคงมีเสื้อผ้าปกปิดไว้ครบชิ้น  ผมกลับรู้สึกเหมือนถูกฉีกลอกออกจนร่างกายเปลือยเปล่า

 

“ แน่ใจแล้วนะว่าจะไม่ปฏิเสธ? ”

 

“ ผ..ผมแน่ใจ ”

มันไร้ความจำเป็นจะต้องเอ่ยถามกัน  แม้ใจจริงผมจะอยู่บนเส้นด้ายบางๆของความไม่มั่นใจก็ตาม  รู้สึกประหม่าเหมือนเป็นกระต่ายแสนซื่อที่พลัดหลงเข้ามาในโถงถ้ำของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์  ณ ขณะนี้ก็สายเกินจะหันหลังกลับ

 

            ทันทีที่เอ่ยคำตกลง หน้าที่สำรวจเรือนร่างก็ถูกเปลี่ยนจากสายตามาเป็นสองมือและเรียวปากนุ่มหยุ่น  เลื่อนเคลื่อนแช่มช้าราวจังหวะของงูเลื้อย  หลอกล่อให้ตายใจด้วยความนวลนุ่มแล้วจึงค่อยโอบรัดจนแน่น  รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าที่สวมใส่หลุดร่วงลง  แผ่นหลังแนบชิดกับลานเตียงนุ่มฟู

การสำรวจเกิดขึ้นอย่างถ้วนทั่วจนแทบไม่มีส่วนใดที่ไม่ได้รับการสัมผัส  คุณฉีกกระชากตัวตนของผมออกเป็นส่วน  บดขยี้และละเลงเหมือนผมเป็นปุยสำลีที่ขาดยุ่ย  ไม่สามารถประกอบรวมกันได้ดังเดิม  รู้สึกจะขาดใจและไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

มันหนาวสะท้าน มันร้อนระอุ เหมือนจับไข้ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองสบายดี

นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเข้าถึงความหมายของความหลงใหลอย่างกระจ่างชัด

 

..หรือเป็นความรัก?  ผมไม่อาจแน่ใจนัก

 

Shhh, bunny. I’ve got you.

 

สัมผัสเดียว.. ทุกความคิดของผมพลันเตลิดกระเจิง  “ ด..ได้โปรด  ช่วยผม.. ”

 

            คุณชำแรกแทรกซอนเข้ามาตามรอยแยก  ก่อความทรมานแทบบ้าคลั่ง  ระคนความสุขสมแปลกประหลาด  เหมือนถูกกรีดเถือซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเจ็บแสบ  แต่ก็หอมหวานเกินกว่าจะยอมให้มันหยุดลงตรงนี้  ผมลืมตาขึ้นขณะกำลังลอยล่องในดินแดนแสนไกล

 

ฉับพลันนั้นเองที่สบกับนัยน์ตาของคุณ  ผมร่วงหล่น  จมจ่อมในความมืดดำเวิ้งว้าง

คุณได้เข้ามาในส่วนที่ล้ำลึกที่สุดของผมทั้งทางกายและใจ

 

“ ผมรักคุณ ”

ผมรู้ว่านี่อาจเป็นเพียงกับดักล่อลวงกระต่ายโง่

 

“ หื้ม? รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา? ”

 

ใครจะเคยนิยามคำว่ารักไว้อย่างไรก็ช่าง  ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าความหมายของมันคือคุณ  “ รักคุณ ผมรักคุณ ”

 

เสียงแหบพร่าหัวเราะแผ่วอย่างกับว่าสิ่งที่ผมพูดคือคำขอแต่งงานจากเด็กห้าขวบ  โอเค ผมอาจจะดูเป็นแบบนั้นในสายตาคุณ แต่ผมสาบานได้ว่ามันกลั่นกรองจากใจจริง

 

“ แย่หน่อยนะ  ฉันไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ ”

 

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้  ใครหลายคนก็เคยเตือนผมมาตลอดว่าอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับคุณ

 

หมอนั่นน่ะเหรอ  ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าเอานะ

 

ต่อให้รู้ว่าหุบเหวด้านล่างนั่นอาจเต็มไปด้วยหนามแหลมที่พร้อมจะทิ่มแทงให้เจ็บปวด  แต่ช่างปะไร  ผมยังยินดีที่จะทิ้งตัวลงไปและยอมรับในผลสุดท้ายของมันอยู่แล้ว

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

สั้นจนเป็นวันช็อต  ๕๕๕๕ เกรงว่าถ้าเขียนพอร์นเต็มตัว พลังชีวิตเราคงติดลบค่ะ และเราเองก็ไม่ได้เขียนพอร์นมานานแล้วด้วย o>—<

เป็นฟิควูบแบบวูบมากๆ  นึกอยากจะเขียนอยู่ๆก็เขียนเลย ๕๕๕ ติชมกันได้ในเม้นท์ไม่ก็แท็ก #kwlfic เหมือนเดิมนะคะ :3 

[Ficlet] I’m not going anywhere (Jark)

Title: I’m not going anywhere 

Pairing: Jackson Wang/Mark Tuan

Genre: Fluff, Angst (Warning: Major Character Death)

 

I’m not going anywhere

 

ผมกับคุณเคยมีความฝันร่วมกันหลายอย่าง

            เริ่มจากความเรียบง่ายอย่างการมอบจูบใต้แสงสีนวลจางของเสาไฟริมถนนยามฤดูหนาว  ออกท่องเที่ยวในดินแดนห่างไกลที่น้อยคนจะรู้จักด้วยกันกับคุณแค่สองคน  วางแผนปีนเขากันในช่วงวันหยุดทั้งที่ผมเป็นคนกลัวความสูง แต่เมื่อนั่นคือกิจกรรมโปรดของคุณ จึงทำให้ผมจำยอมผลักไสความกลัวให้พ้นทางแล้วไปด้วยกัน

 

“ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ ให้ตายผมก็ไม่มาหรอก ”

 

ผมตกหลุมรักคุณครั้งแล้วครั้งเล่าจนเคยนึกถามตัวเองว่ามันจะมีครั้งสุดท้ายหรือไม่

และต่อให้มีครั้งสุดท้าย.. นั่นอาจเป็นการจมจ่อมตลอดกาลจนทำให้ผมไม่อาจไปเริ่มต้นการร่วงหล่นกับใครได้อีก

 

“ เพราะรักล้วนๆเลยนะรู้มั้ย ”

 

ผมทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อให้รอยยิ้มน่ารักปรากฏบนใบหน้าของคุณ  เพื่อตอกย้ำให้ตัวเองรู้ว่าผมโชคดีเพียงใดที่ได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนั่น และอยากจะทำทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ให้นานที่สุด

 

 

จนกระทั่งวันหนึ่งที่คุณหมดสติฟุบลงกับพื้นในห้องครัว เสียงหวีดร้องของน้ำเดือดบนเตาดังแข่งกับเสียงชีพจรของผมที่เต้นโครมครามอย่างตื่นตระหนก  ผมรีบตั้งสติท่ามกลางความหวาดวิตกท่วมท้น  บอกกับตัวเองว่าห้ามให้คุณเป็นอะไรไปเด็ดขาด

            น่าเสียดายที่การภาวนาของผมในตอนนั้นไร้ความหมาย.. สิ่งที่ตรวจพบทำให้ช่วงเวลาของคุณกลายเป็นนาฬิกาทรายที่ถูกพลิกตั้งนับแต่นั้นมา  ความฝันร่วมกันของเราถูกพับเก็บไว้กลายเป็นเพียงเรื่องชวนคุยข้างเตียงผู้ป่วย

.

.

 

            ผมเคยมองเห็นภาพของเราทั้งคู่บนทางเดินกลางโถงโบสถ์  ตอบรับคำสาบานว่าจะรักและดูแลกันและกันจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า  สวมแหวนแทนใจ แล้วกดจูบดูดดื่มย้ำซ้ำในความหนักแน่นของคำสาบาน

ภาพในจินตนาการของผมควรเป็นบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง หากแต่สิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้าคือความอึมครึมชวนโศก  กลิ่นน้ำตาลอยฟุ้งในอณูอากาศ

 

ผมไม่อาจหาญแม้แต่จะสบตากับบรรดาคนในครอบครัวของคุณ.. ความรู้สึกผิดบีบรัดในใจจนปวดแน่น  ครั้งหนึ่งผมเคยสัญญากับพวกเขาว่าจะดูแลคุณให้ดีที่สุด  แต่ผมก็ทำไม่ได้

 

มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย..

.

.

 

ทรายที่หลงเหลืออยู่ด้านบนลดน้อยลงตามการผัดผ่านของวันเวลา ห้องพักผู้ป่วยแห่งนั้นแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของผม  โรคร้ายที่กร่อนกินชีวิตทำให้ร่างกายคุณซูบโทรมจนน่าสงสาร  คุณหันมา แววตาอ่อนล้าทว่ายังคงเปี่ยมด้วยความหวัง  คลี่รอยยิ้มเดิมที่คุณเคยมอบให้กันตลอดหลายปี

แค่เพียงนึกไปว่าโอกาสที่ผมจะได้เห็นมันอีกเหลือเพียงน้อยนิดก็ทำให้นึกถึงเรื่อง Tuesday with Morrie ในวิชาวิจารณ์ภาพยนตร์เบื้องต้น จำได้ว่าผมสะอึกสะอื้นเป็นเด็กขี้แยหลังจากดูมันจบจนคุณต้องเข้ามากอดปลอบ

 

“ เหนื่อยรึเปล่าที่ต้องมาดูแลฉันแบบนี้ ”

 

คุณอายุยังน้อยเกินกว่าจะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้  เหตุใดโชคชะตาจึงขีดเขียนเรื่องราวโหดร้ายให้กับคุณ.. ให้กับเรา

 

“ ไม่เป็นไรหน่า  ผมโอเค ”

 

ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชวนให้หดหู่ใจเช่นกันกำลังฉายชัดตรงหน้า  หากแต่ผมไม่รู้ว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้วจะไปหาใครที่ไหนให้กอดปลอบได้เหมือนอย่างคุณ

 

“ เคยจะเลิกรักฉันมั้ย? ”

 

“ ไม่มีทาง ” ผมตอบกลับตามความสัตย์จริงไปแทบจะทันที ต่อให้คนตรงหน้าผมจะเป็นผู้ป่วยที่เรือนร่างผ่ายผอมซูบเซียว คุณยังเป็นต้วน อี๋เอินคนเดิม ความรู้สึกของผมที่มีให้คุณก็ยังคงเดิมไม่ต่างจากวันแรกที่เราเจอกันในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนั่น

 

คุณคลี่ยิ้มให้ผมกว้างกว่าเก่า ผมไม่รู้ว่าคุณทำได้อย่างไร  ยังคงเป็นแสงสว่างทั้งที่ความตายมืดดำเคลื่อนคืบเข้าครอบงำคุณทุกขณะ  “ แจ็คสัน.. ” เลื่อนฝ่ามือแบบบางเข้ามาทาบทับ ยึดจับแพนิ้วของผมไว้ด้วยแรงอ่อนล้า  “ ไม่ต้องกลัวนะ ”

 

“ ฉันจะอยู่กับนายเสมอ ”

.

.

 

คุณเคยบอกกับผมว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า..

แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ มันทำให้ผมรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่าเศร้าในคราวเดียวกัน  จะไม่ให้ผมเศร้าโศกได้อย่างไรในเมื่อโชคชะตาฉีกกันและกันของเราออกเป็นสองส่วน  คุณได้หวนคืนสู่ดินแดนแห่งพระเจ้าขณะที่ผมยังคงต้องทนอยู่กับที่แห่งนี้.. ในโลกที่เคลื่อนขับด้วยความวุ่นวายไม่รู้จบ

ความตายมันเยื้องย่องเข้ามาและลักพาตัวคุณไปอย่างเงียบเชียบ  ทั้งที่ผมเคยได้ตระเตรียมใจมาก่อนหน้า ก็ยังไม่อาจคุ้นชินกับความฉับพลันนี้   รู้ตัวอีกทีห้องพักผู้ป่วยแห่งนั้นก็ไม่มีใครให้ผมกลับไปดูแลอีกแล้ว

 

“ ไม่เป็นไรนะ  ไม่ต้องกังวล ”

 

น่าแปลกที่ผมไม่ได้ร้องไห้เลยสักนิด

            หรืออาจเป็นเพราะหัวใจของผมแห้งผากเกินกว่าจะกลั่นกรองความเศร้าออกมาเป็นน้ำตาได้  เหมือนถูกทิ้งไว้เพียงลำพังท่ามกลางผืนดินแตกระแหงอันร้างไกล  เยียบเย็นจนหนาวสะท้าน  รู้สึกวูบโหวงราวกับอีกครึ่งหนึ่งของตัวตนถูกฝังรวมกับคุณไปด้วย  ไม่มั่นคงและพร้อมจะแตกสลายได้ในทุกวินาที

 

ผมคิดถึงคุณสุดหัวใจ

 

ล่องลอย.. เคว้งคว้าง.. พื้นที่ว่างเปล่าตรงนี้ก็ทำให้ตระหนักทุกครั้งว่าแรงยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวของผมได้ลาจากไปแล้วตลอดกาล

 

“ ฉันจะมองนายจากตรงนั้น ”

 

แต่คุณจะยังคงเคียงข้างผมเสมอในความทรงจำ

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ร.. เรากลัวมากว่าจะเขียนไม่ถึง orz แต่ก็โอเคอยู่ใช่มั้ยคะ

เพิ่งคิดได้ว่าเราแทบจะไม่ได้เขียนฟิคจาร์คแบบที่ไม่ใช่ฟิคแปลงหรือแปลมาเลย  นี่คือฟิคสั้นเรื่องแรกค่ะ ๕๕๕  และก็ตามหัวข้อ nostalgia ของ #จาร์ควันอาทิตย์ ด้วย

ติดแท็ก #kwlfic มาเล่ารีแอคชั่นได้นะคะ :3  

[Ficlet] Loving you is too hard (Vkook)

Title: Loving you is too hard

Pairing: Kim Taehyung/Jeon Jungkook

Genre: Fluff (I swear!), Light-Angst

Note: This is prequel of  I’ll get over you

 

Loving you is too hard

 

บางครั้งมันก็มีเพียงเส้นบางๆกั้นระหว่างความแตกต่างของคนตั้งใจทุ่มเทกับคนดันทุรัง..

            จอนจองกุกเป็นคนประเภทที่คิดมาตลอดว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือการท้าทายระดับความอดทนของตัวเอง เหมือนกับการเดินข้ามสะพานเส้นยาว  ถ้าถอดใจไม่ก้าวเดินตั้งแต่แรกหรือล้มเลิกกลางทางก็ไม่มีวันรู้เลยว่าจะสามารถข้ามไปยังอีกฟากฝั่งได้หรือไม่  เขาจึงเป็นคนที่ทดลองทำทุกอย่างจนสุดความสามารถของตน

 

ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมนุษย์เรามีขีดจำกัด.. และเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

 

“ แทหรอกเหรอ..

จองกุกเอ่ยถามเสียงงัวเงียเมื่อรู้สึกถึงแรงโอบรัดที่ช่วงเอว ความอบอุ่นคุ้นเคยทาบทับแผ่นหลัง  เขากะพริบตาถี่  อาการปวดตึงในศีรษะที่แทบฆ่ากันทั้งเป็นในก่อนหน้านั้นเริ่มบรรเทาลงบ้างแล้ว

 

“ ฉันเองเจ้าเด็กดื้อ เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย? ”

 

“ ยังปวดหัวนิดหน่อย ” เป็นอีกครั้งที่เรียกได้ว่าเขาดันทุรัง.. ฝืนไปนั่งติวเนื้อหากับเพื่อนร่วมคณะทั้งที่ไมเกรนกำเริบ จองกุกรู้ว่าสุขภาพต้องมาก่อน  แต่ในช่วงเวลาใกล้สอบแบบนี้เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้  ..สุดท้ายก็ยอมจำนนเมื่อถึงขีดสุดที่ฤทธิ์ยาแก้ปวดจะช่วย

 

“ ยูคยอมมันฟ้องว่านายเกือบวูบ ”

 

“ มันก็เว่อร์ไป ” เขาพลิกกายตะแคงมาอีกฝั่งจนได้สบกับใบหน้าของคนอายุมากกว่า “ ตอนนั้นแค่หน้ามืดนิดหน่อยเอง ”

 

“ นั่นแหละที่เรียกว่าเกือบวูบ ”

 

ไร้ประโยชน์ที่จองกุกจะเถียงต่อ  รู้ดีว่าถึงอย่างไรเรื่องนี้เขาก็เป็นคนผิดเอง คาดการณ์ไว้ว่าแทฮยองคงไม่ยอมให้เขาติวต่อจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เป็นแน่  “ คืนนี้พักก่อนเถอะนะ นายยังพอเหลือเวลาทวนชีท ”

 

“ ขอโทษ.. ” จนต้องเอ่ยขออภัยด้วยน้ำเสียงอ่อนยวบ

 

“ ไม่ได้โกรธซะหน่อย ฉันเป็นห่วง ”

แทฮยองเป็นคนที่แสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาเสมอ ความห่วงใยที่ทอดผ่านมาในกระแสเสียงทำเอาเขาหัวใจเต้นแรง  จองกุกเม้มปากเล็กน้อยพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้ม ..เขาเขินอายกับความเป็นห่วงเป็นใยนั่นด้วยความรู้สึกเดียวกันเหมือนอย่างเวลาเด็กได้รับคำชมจากผู้ใหญ่

 

เขาแค่รู้สึกดีที่ถูกรัก..

 

            จองกุกเชื่อมาตลอดว่าการที่คนสองคนคบหากันนั้นประกอบด้วยปัจจัยหลายประการ  ทว่าเมื่อฉีกลอกเปลือกนอกเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว  แก่นแท้ของเหตุผลก็เหลือเพียงแค่ความรัก  เขาเคยมีความรักและเจ็บช้ำกับมันมาก่อน  เขารู้ดีว่าการรักใครสักคนมันรู้สึกเช่นไร

 

ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกกับแทฮยองแบบนั้น

มันไม่ใช่ความพิเศษจนล่องลอยราวกับมีฝูงผีเสื้อบินวนแบบนั้น

 

แทฮยองเป็นคนดี  ฉลาด ดูแลและห่วงใยกันอย่างไม่เคยบกพร่อง  ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน จองกุกรู้ดีว่าความสัมพันธ์ไร้ชื่อมักจะมีจุดจบแบบใด และรู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้เขาดูเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นเองเขาก็ไม่อยากสูญเสียคนแบบนี้ไปจากชีวิต 

 

            เสียงเปาะแปะจากการร่วงพราวของเม็ดฝนภายนอกเริ่มเพิ่มระดับเป็นการคำรามครืนครั่นอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว  คงอีกนานพอสมควรที่คนตรงหน้าจะต้องอยู่ที่นี่กับเขา เสียงนั่นชวนให้เขานึกถึงวันที่อีกฝ่ายตีแผ่หัวใจให้ตรงหน้า สารภาพความในจนหมดสิ้น

ในตอนนั้นจองกุกไม่ได้ปฏิเสธ  เขาขลาดเขินและตกตะลึงจนไม่อาจหาญจะสบตาด้วย จนเมื่ออีกคนย้ำซ้ำคำรัก เขาทำได้เพียงแค่ครางอื้ออึงในลำคอ

 

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะตอบรับซะทีเดียว..

 

จองกุกอยากรักแทฮยองใจจะขาด  หากแต่หัวใจเขาฝืดฝืนเหมือนหน้าต่างขึ้นสนิม

คิมแทฮยองกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เขาลองเผชิญ

 

“ แทแท.. ”

นัยน์ตากลมสบมองคนตรงหน้า  ความมืดสลัวที่คลี่คลุมภายในตัวห้องทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นร่างเงาขาวดำ

 

จองกุกไม่อยากลงแรงกระชากหน้าต่างหัวใจตัวเอง  มันอาจพังจนหลุดร่วงลงมาได้

“ หืม? ”

 

เขาเคยปลอบใจตัวเองว่ามีคนอีกหลายคู่ที่ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก  แต่ก็คบจนรักกันได้ในที่สุด ทั้งที่เรื่องความรู้สึกมันไม่ได้ปั้นแต่งกันได้เหมือนอย่างการบีบอัดบนดินน้ำมัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่าคนเหล่านั้นทำได้อย่างไร แต่จองกุกก็คาดหวังไว้ว่าเขาคงถึงจุดนั้นในสักวัน  มันแค่เพียงต้องใช้เวลา

 

“ เราขอโทษนะ ” ..ขอโทษที่เขาดูเหมือนเป็นคนหลอกลวงแบบนี้

 

“ ขอโทษอะไรอีกหื้ม?  บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกรธ ”  

 

มันเหมือนการเหยียบย่างลงบนแผ่นน้ำแข็ง

 

            จองกุกไล้ปลายนิ้วเย็นเยียบขึ้นมาก่อนจะคว้าหมับกับฝ่ามือกว้างของอีกฝ่าย  จับแน่นราวกับกลัวว่ามันจะจางหายไปในชั่ววินาทีนั้น  เขาอาจจะคิดไปเองคนเดียวว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันช่างเปราะบางยิ่งนัก  เราต่างเป็นเจ้าของกันและกัน  ทว่ามีเพียงเขาที่ถูกรักอยู่ฝ่ายเดียว

 

“ ขอโทษกับทุกเรื่องเลย ”

 

เขาได้แต่ภาวนาให้แผ่นน้ำแข็งที่เราต่างเหยียบยืนอยู่นี้จะไม่ปริแตกลงไปเสียก่อน

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

หวังว่ามันยังคงเป็นฟิคฟลัฟและไลท์แองส์อยู่ ๕๕๕๕

มีใครเข้าใจพาร์ทนี้บ้างมั้ยคะ?  พอเป็นมุมมองน้องจกุกแล้วเรารู้สึกว่าถ่ายทอดโคตรยากเลย orz  สำหรับเราแล้วการคบใครสักคนมันคือการบาลานซ์กันระหว่างความสบายใจกับใจเต้นแรงอะค่ะ ซึ่งในฟิคน้องจกุกก็คิดแบบนี้แหละค่ะ แต่สิ่งที่แทให้ได้มันมีแต่ความสบายใจ สุดท้ายก็พังอย่างใน I’ll get over you นั่นแหละค่ะ

 

ติดแท็ก #kwlfic มาเม้าท์มอยกันได้เหมือนเดิมนะคะ 😀