[ฟิคแปล] What is light without darkness? (Kylux) III

Original:  What is Light Without Darkness?

Chapter III

 

หลังจากที่ฮักซ์ไม่ได้รู้สึกว่ารัศมีเทพของอีกฝ่ายหลงเหลืออยู่แล้ว  เขาจึงออกสำรวจทางเดินผ่านช่องว่างระหว่างประตูที่เขาตั้งใจบันดาลไม้ดอกให้มากางกั้นไว้  ก่อนจะพบว่าทางลาดยาวนั้นว่างเปล่า..

 

ข้าต้องไปที่ริมแม่น้ำนั่น.. องค์เทพครุ่นคิดกับตนเอง ..หรือไม่ก็ต้องลองพูดกับพวกสัตว์เหล่านั้นดูว่าจะสามารถพาข้าออกจากที่แห่งนี้ได้หรือไม่  ข้าต้องทำได้.. ข้าต้องทำได้

 

            ขณะที่กำลังย่างกรายออกไปข้างนอกนั้นเอง ฮักซ์แทบต้องชะงักลมหายใจเพื่อไม่ให้ก่อเกิดเสียงใดๆ  แต่ละก้าวฝีเท้าของเขาแผ่วเบาและรวดเร็ว  จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงกลางของทางเดินนั้นเอง  เรียวมือปริศนาก็แตะลงบนลาดไหล่ ฮักซ์สะดุ้งเฮือก เลือดในกายพลันเย็นเฉียบ

 

ผินพักตร์หมายว่าต้องได้เจอกับอัศวินท่านนั้นเป็นแน่  หากแต่สิ่งที่ประจักษ์แต่สายตากลับทำให้ชีพจรเต้นแรงดุจการระรัวของเสียงกลอง

 

            มันคือท่อนแขนที่โผล่พ้นออกมาจากผนัง  อันที่จริง.. เกลียวคลื่นที่ถูกดันนูนซึ่งฮักซ์เคยเข้าใจว่ามันคือผนังนั้นแท้จริงกลับเป็นบรรดาท่อนแขนที่เคลื่อนไหวในท่าทางพิลึกพิลั่น

 

“ พระเจ้า..

 

ฮักซ์พยายามขืนร่างตนเองออกมา ทว่าบรรดาเรียวมือนับพันก็ยิ่งปรากฏและตรงเข้ามา ..พระเจ้า.. ไม่! ไม่นะ!

 

พวกมันส่งเสียงหวีดร้องแหลมสูง  “ ช่วยข้า.. ช่วยข้าด้วย! ” นั่นทำให้ฮักซ์อยากกรีดร้องออกมาให้ดัง เขาเริ่มออกวิ่ง

 

“ ข้าต้องไปจากที่นี่! ข้าต้องไปจากที่นี่!

 

            พวกมันยกร่างเขาขึ้น  เบื้องบาทแทบไม่ได้เฉียดสัมผัสกับพื้น  ท่อนแขนเหล่านั้นคืบเคลื่อนมายังลำคอ  นัยน์ตา  เรียวขา.. เลื่อนมาปิดปากเขาเอาไว้ แตะต้องทุกพื้นที่ในร่างกาย ..ทุกพื้นที่  ฮักซ์ครวญคร่ำอย่างสูญสิ้นความหวัง มองเห็นสุดปลายทางอยู่ไม่ไกล พยายามขืนตัวออกอีกหนแม้จะอ่อนแรงก็ตาม ดลบันดาลให้กิ่งก้านและเถาวัลย์งอกเงยขึ้นเพื่อกีดกั้นบรรดาท่อนแขนเหล่านั้นและเปิดทางให้กับเขา

 

ฮักซ์แหวกว่ายท่ามกลางกลุ่มกองเรียวมือ สะอื้นไห้ ต้องการอากาศจะหายใจ ..ช่วยเราด้วย ช่วยเราด้วย.. ขณะที่พวกมันยังคงคร่ำครวญ

 

“ ปล่อยข้า! ” เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นใด จึงจำต้องกรีดร้องออกมา

 

            เขาขืนร่างและใบหน้าออกมาจากวงล้อมนั้นได้ในที่สุดเมื่อเถาวัลย์กระชากร่างเขาให้ร่วงหล่นจนเป็นอิสระ องค์เทพนึกหวาดกลัวและแขยงขยาด พยายามหอบหายใจหากแต่มันรวดร้าวในอกไปหมด  เขารีบรุดตรงไปยังแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย

 

มันยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ทันทีที่เขาเหยียบย่ำลงบนผืนดินสีเทา มันก็โผล่พ้นขึ้นจากข้างใต้แล้วคว้าข้อเท้าของเขาเอาไว้จนล้มลงอีกครั้งหนึ่ง  “ ไอ้เวรเอ้ย! ” พื้นที่โดยรอบพลันสั่นไหว  อย่าเชียวนะ มันต้องไม่เป็นแบบนี้.. ไม่ใช่แบบนี้.. “ ไม่!

 

ข้าต้องกลับไป.. เวรเอ้ย ข้าต้องกลับไป  ข้าหนีไม่ได้

 

            เทพแห่งฤดูใบไม้ผลิถีบดันท่อนแขนนั่นออก  เขาได้ยินเสียงมันแตกหัก เพราะแรงกระแทกเมื่อครู่เป็นแน่  เมื่อเขาหมายจะลุกขึ้น  มันก็ยื่นขึ้นมาฉีกกระชากชายภูษาจนขาด  “ บ้าเอ้ย.. ” เขาสะดุ้งด้วยความตระหนกก่อนจะหันหลังกลับ

 

โซซัดโซเซกลับยังทางที่จากมา  เขาเอาแต่พึมพำกับตนเองว่าเขานั้นช่างโง่เขลาเพียงใด แผนการณ์ที่ถูกวาดหวังเอาไว้พังไม่เป็นท่า บรรดาทวยเทพต้องหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่  แม้แต่ท่านบิดาก็คงต้องหัวเราะใส่ ..เจ้าโง่เอ้ย  เขาพยายามไปให้ถึงบานประตู  หากแต่พวกมันดึงรั้งกันไว้จนหายใจไม่ออก.. เทพสิ้นใจเช่นนี้ก็ได้หรือ? เขาร้องลั่น

 

“ จงหายไป! ” สั่งเสียงคำรามลั่นจนทั้งสถานสั่นไหว บรรดาท่อนแขนเหล่านั้นจึงปล่อยฮักซ์ให้ร่วงหล่น

 

            มันหายกลับเข้าไปในผนังตามเดิมพร้อมด้วยเสียงกรีดร้อง  เจ้าของผมสีเพลิงแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่เมื่อเข้าไปในตัวห้องแล้วล้มลงบนลานเตียง ไม่ทันได้สังเกตเสียด้วยซ้ำว่าบานประตูนั้นเปิดกว้างรอต้อนรับเขาอยู่แล้ว ในความคิดไม่อาจนึกถึงสิ่งใดได้เลย เจ็บร้าวทั้งช่องอก เสียงชีพจรเต้นตุบดังลั่น.. ดังเกินไป ความรู้สึกขยาดแขยงจากท่อนแขนที่สัมผัสเขาทั่วร่างยังคงอยู่และชวนให้คลื่นเหียนยิ่งนัก

 

บางอย่างเคลื่อนมาปิดบังใบหน้าไว้และทำให้ฮักซ์เบิกตากว้างด้วยความตระหนก ความมืดมิดสัมผัสลงกับผิวเนื้อ

 

“ หายใจเสียเถิด ” เรนนั่นเอง เรนอยู่ที่นี่  “ ท่านปลอดภัยแล้ว หายใจลึกๆ ช้าๆ ”

 

            ฮักซ์เหลียวมองหาอีกฝ่าย ความมืดมิดนั้นจางหายลงไปแล้ว  สุรเสียงของเรนก็แปลกต่างไปจากเดิม ไร้ซึ่งเสียงแทรกซ้อนและนุ่มนวลกว่าเก่า เมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏให้เห็นอีกครั้ง ทั้งตัวห้องก็เรื่อเรืองด้วยแสงสีน้ำเงิน  เขาเห็นเรนแล้ว.. ฝ่ายนั้นเอนกายเข้าหาเขาและ

 

“ เจ้า.. ” ฮักซ์อ้าปากค้าง  “ เจ้าถอดหน้ากากออก ”

 

“ ท่านสวมมันอยู่  จงสูดหายใจเข้าช้าๆค่อยๆแล้วบอกข้ามาว่าท่านพบเจอสิ่งใดบ้าง ”

 

            ฮักซ์ไม่อาจพรรณาสิ่งที่นึกคิดออกมาเป็นคำพูดใดได้เลย เรนช่างงดงามยิ่งนัก ผิวซีดจางประดุจแสงดาวและกลุ่มผมดำสนิทดั่งหลุมลึก กระแต้มประปรายบนใบหน้าและแววตาเจิดจรัสคู่นั้น  ความมีชีวิตชีวาที่บนโลกไม่อาจเห็นฉายชัดอยู่ภายในนัยเนตรของฮาเดส

 

รอยถากที่ขีดยาวตั้งแต่ด้านขวาของหน้าผากจนมาถึงแก้มด้านซ้ายไม่อาจทำให้ความงามของเทพตรงหน้าลดลงเลยสักนิด

 

ฮักซ์หยุดนิ่งเพื่อพักให้หายจากความเหน็ดเหนื่อย เริ่มหายใจหายคอได้คล่องอีกครั้ง  แม้ภายนอกของเจ้าหน้ากากนี้จะเป็นสีดำสนิท หากแต่ผู้สวมใส่ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน  “ มัน.. มันมีแสงสีน้ำเงินรายล้อมตัวเจ้า นี่คือรัศมีเทพของเจ้าหรือ? ”

 

“ ใช่ ” นัยเนตรคู่นั้นกลายเป็นสีดำมะเมื่อมโดยฉันพลัน เรนเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อปิดบังมัน  “ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ท่านอยู่ในนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง! ใยท่านจึงไม่ฟังกันบ้าง? ”

 

“ ข้าไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าหรอก ” ฮักซ์กล่าวตอบเสียงแผ่วเพราะความอ่อนล้า การถกเถียงกันไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น

 

เรนทอดถอนลมหายใจ ยังคงไม่มั่นใจที่จะมองหน้ากันโดยตรง  “ บางครั้งการที่ท่านไม่ระวังอะไรเลยก็ทำให้ข้าขุ่นเคืองใจ ”

 

“ ข้าก็เช่นกัน!

 

ฮักซ์ผ่อนปรนลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าจนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น  หน้ากากนี้ที่เขาเคยนึกชิงชังหนักหนากลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเอาไว้  ยิ่งสวมใส่มันเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นกับตนเองมากขึ้นเท่านั้น ..เขาไม่อยากยอมรับมันอย่างชัดแจ้งนักหรอกนะ

 

จ้าวแห่งยมโลกหัวเราะแผ่ว  “ พักผ่อนเสียเถิด ” เรนถอดหน้ากากออกให้ แต่ก่อนที่ฝ่ายเจ้าของจะสวมมันกลับตามเดิม ฮักซ์ก็พลันคว้าเรียวมือเอาไว้

 

“ เหตุใดเจ้าจึงต้องซ่อนเร้น? ”

 

“ ข้าเปล่า..

 

“ เจ้าทำอยู่  เพราะแผลเป็นบนหน้าเจ้าหรือ? เทพเช่นเจ้าย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ” น้ำเสียงของฮักซ์สั่นพร่าเล็กน้อย ความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่พบเจอยังคงอยู่  “ เจ้าเคยให้สัญญากับข้าเองว่าจะให้ข้ารู้ทุกสิ่งที่ข้าปรารถนา ”

 

เนิ่นนานทีเดียวที่เรนสบมองเขา นัยเนตรคู่นั้นกลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว อีกฝ่ายยิ่งลดระยะห่างระหว่างกันและกัน จนกระทั่งหน้าผากของทั้งคู่แนบชิด ปลายผมยาวสีเข้มระข้างแก้ม  “ ข้ากลัวท่านจะเห็นหัวใจข้าแล้วจะโบยบินหนีไปดั่งนก ”

 

ห้วงหัวใจของฮักซ์เหมือนจะเต้นผิดปกติไปหลายจังหวะจนเขานึกอยากจะก่นด่าตนเอง นัยน์ตาสองคู่เป็นดั่งแสงสว่างและความมืดมิดที่หลอมรวมกัน  ดั่งดาวฤกษ์เจิดจ้า.. ดั่งดารานับร้อยพันกำลังเคลื่อนข้ามผ่านในห้วงจิต

 

ทั้งสองสบมองกันเนิ่นนานจนราวกับว่าเวลาจะหยุดดำเนินไปในชั่วขณะนั้น  ความกว้างใหญ่ไพศาลของผืนโลกและชีวิตนิรันดร์ดูจะน้อยนิดกว่านี้  ฮักซ์รู้สึกถึงความรู้สึกอุ่นวาบที่คืบเคลื่อนท่วมท้นในดวงใจ ช่างเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เหลือเกิน

 

“ เช่นนั้นจงเก็บใจเจ้าไว้ดังเดิมแล้วบอกเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่หนีมาสิ ”

 

เรนลุกขึ้น  สวมใส่หน้ากากกลับลงตามเดิม  “ พักผ่อนเสีย ”

 

            เทพแห่งฤดูใบไม้ผลิเอนกายแนบลงกับบรรดาหมอนนุ่ม ห้วงนิทรารมณ์เข้าคลี่คลุมก่อนที่เรนจะก้าวถึงบานประตูเสียอีก  ดอกแอสเตอร์สีฟ้าจางค่อยๆเงยงอกแทรกในกลุ่มผมสีเพลิง แย้มบานอย่างเชื่องช้า

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

[SF: X-Men] Everything is better when I’m with you (Alex & Scott Summers)

Title: Everything is better when I’m with you

Pairing: Alex Summers & Scott Summers

Genre: fluff/angst

Note: 1.) สปอยล์จุดใหญ่พอสมควรเลยนะคะ ถ้ายังไม่ดูหนังก็ยังไม่ต้องอ่านก่อนก็ได้ค่ะ  2.) สุดท้ายใจก็ไม่กล้าพอก้าวข้ามกำแพงศีลธรรมค่ะ มองเป็น sibling relationship ไปนะคะ ;w;

 

 

Everything is better when I’m with you

 

 

            เหตุการณ์ที่วอชิงตันดีซีผ่านพ้นมาได้เกือบเจ็ดปีแล้ว.. การกระทำอันอุกอาจของอีริค เลนเชอรร์นั้นทำให้คนทั้งโลกชิงชังพวกมนุษย์กลายพันธุ์และมองว่าเป็นอันตราย  ทว่าเรเวนก็เปลี่ยนมุมมองของคนทั้งโลกไปด้วยเช่นกัน ..เจ็ดปีแล้วที่โลกเริ่มยอมรับการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์มากขึ้น

            กระนั้นเองอเล็กซ์ก็ยังคงปิดซ่อนตนเองอยู่ตามเดิม  จากประสบการณ์ที่พบเจอทำให้เขารู้ว่าการเปิดเผยตัวตนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก  ต่อให้คนพวกนั้นจะยอมรับ แต่ก็ยังมีคนบางพวกที่ยังหวังผลประโยชน์และคิดจะทำลายพวกเขาอยู่ดี.. พวกมันทำโดยไม่สนใจหรอกว่าจะโหดร้ายทารุณสักเพียงใด

 

การทดลองนรกนั่นพรากบรรดาเพื่อนร่วมทีมและคนเคยรู้จักไปตั้งหลายต่อหลายคน.. ความสูญเสียเหล่านั้นตอกตรึงในความทรงจำและย้ำเตือนเขาเสมอว่าจงใช้ชีวิตเสมือนมนุษย์ธรรมดา

 

 

เพล้ง!

 

            เสียงของวัตถุบางอย่างที่แตกกระจัดกระจายทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและหลุดจากภวังค์ความคิดทันที  รีบรุดไปยังที่มาของเสียงนั่นอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าที่ปรากฏให้เห็นนั้นทำเอาอเล็กซ์ตื่นตระหนกเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

 

“ สก็อตต์!

 

ใบหน้าซีดเซียวหันมาตามเสียงเรียก สองมือค้ำยันกับเคาน์เตอร์ครัวไว้เพื่อให้ร่างที่จวนจะเซล้มนั้นยังคงทรงตัวได้อยู่  “ พ..พี่.. ”

 

อเล็กซ์ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปประคองผู้เป็นน้องอย่างระแวงระวัง  เนื่องด้วยกลัวว่าเจ้าเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นจะบาดผิวเนื้อเข้า  “ ค่อยๆเดินนะ ระวังแก้วบาด ”

 

            กว่าจะมาถึงโซฟาก็เรียกได้ว่าแทบจะทุลักทุเลพอสมควร  สก็อตต์แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะเขยื้อนขยับเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้อเล็กซ์เป็นกังวล  อาการปวดศีรษะอันเป็นปริศนาของคนตรงหน้าเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกวัน  ฝ่ามือแตะลงบนผิวแก้มเย็นชืด  “ เดี๋ยวฉันเอายามาให้นะ ”

 

สก็อตต์รู้สึกเหมือเส้นประสาทถูกดึงจนเครียดขึง แรงบีบคั้นในหัวชวนให้ทรมานแทบขาดใจ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอและหมุนเคว้ง  ครั้งนี้มันรุมเร้าจนถึงขั้นน้ำตาร่วง  ความฝืดเฝื่อนชวนพะอืดพะอมเริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกหนจนเขาต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป

 

“ ไหวมั้ย?  หรือว่าจะไปโรงพยาบาล? ”

 

“ ไม่เป็นไรหรอก ” สก็อตต์ปฏิเสธเสียงแผ่ว  กลืนเอายาแก้ปวดและกระดกน้ำอย่างยากลำบาก  ครั้นพอผู้เป็นพี่จะเอ่ยปาก  เขาก็รีบคัดค้าน  “ คงแค่ไมเกรนหน่า  เดี๋ยวก็ดีขึ้น ”

 

มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง.. เป็นๆหายๆ.. จะทั้งกินยาแก้ปวด  นอนพัก หรืออาเจียนอาจพอช่วยให้อาการทุเลาลงบ้าง  แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะหายไปเอง ..ครั้งนี้ก็คงเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ

 

คนที่ร้อนรนกลับกลายเป็นอเล็กซ์  ไม่เข้าใจฝ่ายน้องชายว่าเป็นหนักถึงขนาดนี้ทำไมถึงยังใจเย็นอยู่ได้  ไม่คิดเป็นห่วงตัวเองบ้างเลยหรืออย่างไร  ชายหนุ่มคว้าเอาข้อแขนของคนป่วยให้ลุกขึ้นตามมา  “ นี่พี่ทำอะไรเนี่ย! ” สก็อตต์โวยวายลั่น  อเล็กซ์กำลังจะเถียงกลับ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ชะงักไป

 

นัยน์ตาสีครามเข้มคู่นั้นเรื่อแดงขึ้นมาครู่หนึ่ง.. สาบานได้ว่าเขาเห็นมันอย่างชัดเจนและไม่ได้คิดไปเอง

 

            ท่ามกลางความตกตะลึง  เรียวมือจึงค่อยๆปล่อยจากลำแขน  คนอายุน้อยกว่าลงไปนอนขดตัวกุมขมับกับเบาะโซฟา  “ พ..พี่เป็นบ้าอะไรวะ ” น้ำเสียงนั่นอ่อนระโหยโรยแรง  ตอนนั้นเองที่อเล็กซ์มีคำถามและข้อสันนิษฐานหลากหลายในหัว และหนึ่งในนั้นที่ผุดขึ้นมาก็คือ..

 

สก็อตต์เป็นเหมือนกันกับเขา?  เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน?

 

“ ฉันขอโทษ.. นายนอนพักเถอะ ” คนเป็นพี่ดันศีรษะของอีกฝ่ายให้หนุนลงบนหน้าตัก  สก็อตต์ขยับเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่ตนต้องการ  อเล็กซ์เลื่อนปลายนิ้วนวดวนหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนถึงขมับ ก่อนจะสางเข้ากับกลุ่มผมนุ่ม

 

“ เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะ  ไม่เป็นไรหรอก.. นายต้องไม่เป็นอะไร ” แม้จะเอ่ยปลอบไปเช่นนั้น  หากแต่ตัวเขาเองกลับว้าวุ่นในจิตใจ  เป็นไปได้สูงทีเดียวที่น้องชายของเขาจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์  แต่พลังยังไม่แสดงออกมาก็เท่านั้น

 

และถ้าเป็นอย่างนั้น.. อเล็กซ์ก็กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเจอเหมือนอย่างเขา ไม่รู้ว่ายีนกลายพันธุ์นั่นจะแสดงอะไรออกมาบ้าง  มันดูยากไปหมดไม่ว่าจะเป็นการควบคุมพลังหรือการใช้ชีวิตปะปนไปกับพวกมนุษย์เหล่านั้น

 

นัยน์ตาสีฟ้าเข้มสบมองคนที่หลับพริ้มบนตักด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเหลือแสน

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            วันนี้สก็อตต์รีบกลับมาจากโรงเรียนช้ากว่าปกติ เขาโดนทัณฑ์บนเนื่องด้วยปัญหาทะเลาะวิวาท ยังดีที่พ่อกับแม่ของเขามีธุระต้องออกไปอีกเมืองกินเวลาเป็นสัปดาห์ ส่วนฝ่ายพี่ชายตอนนี้คงจะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ..เขาไม่รู้หรอก  รู้เพียงแค่ภายในตัวบ้านเงียบเชียบ  มีเพียงเสียงครืนครั่นจากท้องฟ้ามืดครึ้มที่บ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้านั่น

            แต่แล้วสก็อตต์ก็พบว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่กลับมาถึงเมื่อได้เห็นรองเท้าคู่คุ้นตาที่วางอยู่บนชั้น  ส่วนฝ่ายเจ้าของคู่นั้นเองก็กำลังนอนบนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก  บนโต๊ะที่ข้างกันนั้นมีหนังสือพิมพ์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้อยู่  เนื้อหาที่ปรากฏบนหน้ากระดาษทำให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาอ่าน

 

มันว่าด้วยการระงับมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ให้ร่วมลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก  หลังจากที่ปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์ทำลายสถิติโลกแปดรายการ..

ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายของเขาสนใจพวกมนุษย์กลายพันธุ์ด้วย

 

            สก็อตต์วางหนังสือพิมพ์กลับยังที่เดิมของมัน  เขาคงจะเดินขึ้นไปที่ห้องแล้ว หากไม่ติดว่าเป็นเพราะพี่ชายของเขา.. นัยน์ตาสีครามเข้มมองเสื้อเชิ้ตที่ถูกติดกระดุมทุกเม็ดและผูกเนคไทอย่างเรียบร้อยด้วยความรู้สึกอึดอัดแทนผู้ใส่ ..นอนแบบนั้นเข้าไปได้อย่างไรกัน?

 

คนอายุน้อยกว่าส่ายศีรษะก่อนจะโน้มตัวลงไปคลายปมเนคไทสีกรมท่าและปลดกระดุมตัวแรกออกให้อย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะได้  ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เรียวมือสัมผัสบนแผ่นอกอย่างบังเอิญ  สก็อตต์ชะงักไปครู่หนึ่งกับไอร้อนผิดปกติที่แผ่ออกมา

 

อเล็กซ์ป่วยเหรอ?  แต่เมื่อลองอังหน้าผากกับผิวแก้มนั่น มันกลับยังอยู่ในอุณหภูมิปกติ

คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก..

.

.

 

ความรู้สึกหนักอึ้งที่ทาบทับลงบนร่างทำให้อเล็กซ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา..

 

            ความมืดสลัวรายล้อม อากาศเย็นยะเยือก มีเพียงเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนภายนอกที่กระทบข้างฝาและบานหน้าต่างให้ได้ยิน  ทั้งยังไม่อาจล่วงรู้เวลาได้เลย อเล็กซ์เขยื้อนกายเล็กน้อยด้วยความงัวเงีย ก่อนจะรู้สึกถึงแรงยวบจากพื้นที่ข้างกัน  เขาจึงกระจ่างว่าความหนักอึ้งที่สัมผัสมาก่อนหน้านี้คือแรงกอดจากใครอีกคน

 

อเล็กซ์คุ้นชินกับสัมผัสจากอ้อมแขนนี้มากพอที่จะรู้ว่านี่คือสก็อตต์..  ห้วงความคิดพยายามประมวลเหตุการณ์ ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อช่วงเย็นเขากำลังรออีกฝ่ายจนเผลอหลับไปบนโซฟา

โซฟา.. เบาะกำมะหยี่นี่ก็ไม่หนานุ่มพอจะเป็นเตียงได้  นั่นยิ่งยืนยันว่าเขาเผลอหลับไปจริงๆ

 

ครั้นพอจะขยับลุก แรงกอดรัดนั้นก็เพิ่มมากขึ้น  “ นอนต่อเหอะ.. ผมง่วง..

 

“ ตื่นได้แล้วสก็อตต์  นายกลับมาเมื่อไหร่ทำไมไม่ปลุกฉัน ” อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรโต้ตอบ  เพียงแต่เลื่อนศีรษะจากไหล่ลงมาซบซุกบริเวณแผ่นอกเสียแทน  เส้นผมนุ่มสีน้ำตาลเข้มเคล้าคลอที่ปลายคาง อเล็กซ์เผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู “ ขึ้นไปนอนที่ห้องกัน ตรงนี้มันหนาว ”

 

“ ตัวพี่ก็อุ่นพอแล้วนี่ไง ”

 

ไม่รู้ว่าด้วยอายุที่ห่างกันพอสมควรรึเปล่า เขาจึงได้รู้สึกว่าน้องชายของเขาดูจะยังเป็นเด็กน้อยในสายตาเขาเสมอ

 

“ สก็อตต์.. ตื่นได้แล้ว ” ผู้เป็นพี่เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม  แกล้งเป่าลมหายใจให้รินรดลงบนกลุ่มผมนั่นจนมันกระจายไม่เป็นทรง  เลื่อนลงมายังใบหูจนจนสก็อตต์ต้องย่นคอหลบ สร้างความรำคาญให้กับคนที่กำลังจะนิทราหลับอย่างสบายอารมณ์อีกรอบ

 

“ ก็ได้.. ก็ได้.. ” ผู้เป็นน้องกล่าวทั้งที่ความงัวเงียยังคงเจืออยู่ในน้ำเสียง ก่อนจะลุกขึ้นในท่านั่งแล้วยืดกายบิดขี้เกียจช้าๆ 

 

อเล็กซ์ลุกขึ้นเดินไปกดสวิทช์ไฟ  ทั้งตัวห้องสว่างโร่ขึ้นมาโดยพลัน

“ ว่าแต่ทำไมนายกลับมาช้าจังล่ะหืม? ”

 

 “ เอ่อ.. คือ.. ” นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบเลยสักนิด จะให้บอกไปอย่างไรล่ะว่าเขาต้องกลับบ้านช้าเนื่องด้วยโดนทัณฑ์บนจากการทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมชั้น หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้นึกหาข้อแก้ตัว  เรียวมือนั่นก็แตะลงบนรอยฟกช้ำที่โหนกแก้มเสียแล้ว ให้ตายสิ โดนจับได้ซะแล้ว..

 

“ นี่ไปโดนอะไรมา? ”

 

คนเพิ่งตื่นที่ยังแสดงความง่วงงุนเมื่อครู่นั้นถึงกับตาสว่าง  เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าภายนอกยิ่งสร้างความกดดัน  ในเมื่อถึงอย่างไรก็หาข้ออ้างไม่ได้ จึงจำต้องยอมรับสารภาพไปตามตรง  สก็อตต์ถอนหายใจพรืดยาวแล้วก้มหน้า  “ มีเรื่องมานิดหน่อย ”

 

อเล็กซ์เพียงแต่มองหน้าเขา  ความสงบนิ่งจนเกินไปนั้นทำเอาสก็อตต์รู้สึกใจคอไม่ดีเสียเลย รู้ว่าถึงอย่างไรตัวเองคงไม่พ้นต้องโดนดุเป็นแน่  หากแต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏกลับไม่ใช่เมื่อคนตรงหน้าลุกขึ้นเดินออกไปจากตัวห้องรับแขก

 

..ครู่ใหญ่ทีเดียว  ก่อนจะกลับมายังโซฟาอีกครั้งพร้อมด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำที่ถูกบิดจนหมาด

 

“ ตัวแสบเอ้ย ”

 

“ ก็มันหาเรื่องผมก่อน! ” สก็อตต์รีบแย้ง นึกถึงหน้าของไอ้จอมกร่างประจำห้องแล้วอยากกลับไปเอาคืนสักหมัดสองหมัดให้หายแค้น  กลายเป็นเขาถูกตอกกลับจากอเล็กซ์ด้วยแรงกดลงบนแผลอย่างจงใจจนเขาร้องลั่น  “ โอ๊ย! นั่นมันผ้าชุบน้ำร้อนนะ!

 

“ อยู่นิ่งๆหน่า ประคบไว้จะได้ไม่ช้ำ ”

 

คราวนี้อเล็กซ์แนบแตะผ้าขนหนูผืนเล็กลงบนร่องรอยฟกช้ำด้วยแรงแผ่วเบาแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน  “ นายอย่าทำตัวให้มีปัญหานักสิ ” ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งแตะที่ปลายคาง  สำรวจว่ามีแผลส่วนอื่นบนใบหน้าอีกหรือไม่  “ นี่ถ้าวันนึงฉันไม่อยู่ นายก็จะปล่อยแผลนายเอาไว้อย่างนั้นใช่มั้ย ”

 

“ พี่ทำเหมือนผมเป็นเด็กๆไปได้ ผมดูแลตัวเองได้หน่า ”

ก็ทั้งอาการปวดศีรษะที่ยังคงรุมเร้าฝ่ายนั้นอยู่เป็นบางครั้ง ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจแน่ใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังที่ยังไม่ปรากฏให้เห็นนั่นด้วยรึเปล่า..  จะไม่ให้เขานึกวุ่นวายใจได้อย่างไร

 

“ ไม่ใช่ซะหน่อย..

 

“ พี่พูดเหมือนตอนถูกเกณฑ์ไปเวียดนามด้วย จะมีสงครามที่ไหนอีกรึไง? ”

 

ตอนนี้มันไม่ได้มีเพียงสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น  ผู้คนบางส่วนยังคงไม่เชื่อใจในมนุษย์กลายพันธุ์  ความบาดหมางขัดแย้งอาจเกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้หรอก ..เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ต้องไปร่วมช่วยอยู่ดี

 

“ เปล่าหรอก ”

 

และสก็อตต์ก็จะกลายเป็นคนที่เขานึกเป็นห่วงมากที่สุด

 

“ พี่พูดยังกะจะหายไปตอนนี้เลย ” คนอายุน้อยกว่าเอื้อมมือขึ้นวางทาบทับลงกับเรียวมือที่ประคองใบหน้าไว้ก่อนจะแย้มยิ้มบาง  “ อยู่ด้วยกันก่อนสิ ”

 

ความอุ่นชื้นที่แผ่กระจายบนผิวแก้มนี่ชวนให้เคลิ้มหลับยิ่งนัก

เสียงหยาดฝนที่พร่างพรมอยู่ด้านนอกนั่นก็เช่นกัน..

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

ต่อให้สก็อตต์จะดูเป็นน้องชายจอมรั้นก็ตาม  อเล็กซ์ก็ยังเป็นคนเดียวที่เขายอมเชื่อฟังเสมอ..

 

            ครอบครัวซัมเมอรส์รีบรุดไปยังโรงเรียนแทบจะทันทีที่ได้รับแจ้งมาว่าสก็อตต์มีส่วนทำให้พื้นที่ของโรงเรียนชำรุดเสียหาย  มันเหมือนภาพในอดีตที่ย้อนวนกลับมาฉายซ้ำ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับอเล็กซ์มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ก่อความเสียหายเอาไว้เยอะกว่านี้มาก

 

อีกทั้งในตอนนั้นโลกยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์เสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกหรอกที่จะทำให้อเล็กซ์เจอข้อหาร้ายแรงแบบนั้น

 

            สก็อตต์นั่งซุกตัวบนพื้นกระเบื้องในที่เกิดเหตุ  ความแสบเคืองจากนัยน์ตาเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว กระนั้นเองเขาก็ยังคงไม่อาจหาญจะเปิดเปลือกตาขึ้น  หวาดกลัวว่าพลังที่เพิ่งค้นพบของตนเองจะทำร้ายใครเข้าอีก เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ? เป็นเหมือนอีริค เลนเชอร์? เหมือนกับผู้หญิงผิวฟ้าคนนั้น? เหมือนกับปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์?..

 

..เหมือนกับใครอีกหลายๆคนในโรงเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ.. เพียงคิดถึงตรงนี้ทั้งร่างก็พลันสั่นเทา

แต่ใครเล่าจะปฏิเสธสิ่งที่ตนเองเป็นได้?  จำต้องยอมรับมันอยู่ดี

 

มีเพียงความเงียบงันตลอดทางกลับบ้าน ผ้าผืนหนึ่งถูกพันรอบดวงตาทั้งคู่เอาไว้  ความตื่นตระหนกที่ยังคงอยู่ทำให้สก็อตต์ปฏิเสธที่จะสื่อสารกับใครก็ตาม  รีบขังตนเองในห้องนอนทันทีที่ถึงบ้าน ตอนนี้เขาอยากอยู่ตามลำพัง ไม่ต้องการใครทั้งนั้น

 

            เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดยาวแล้วแนบใบหน้าลงกับผ้านวมนุ่ม ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหลังจากเกิดเรื่องนี้  มันจะควบคุมได้รึเปล่า? แล้วถ้าไม่ได้เขาก็ต้องใช้ชีวิตเสมือนคนตาบอดเพื่อความปลอดภัยของใครต่อใครอย่างนั้นหรือ?

 

ความคิดกระจัดกระจายเริ่มก่อตัวเป็นความหวาดวิตก

จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงคลิกพร้อมกับกลอนประตูที่ถูกปลดออก

 

สก็อตต์หันขวับยังต้นเสียงนั้นด้วยทีท่ากระฟัดกระเฟียด หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้โวยวายอะไรออกไป แรงกอดรัดก็พลันโถมลงบนร่าง เสียงกระซิบแผ่วปลอบโยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า  “ ฉันรู้มันน่ากลัว สก็อตต์.. แต่มันไม่มีอะไร มันไม่เป็นไรจริงๆ เชื่อฉันสิ ”

 

เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่อ้อมแขนนั้นยังคงตระกองกอดกันไว้

รู้เพียงแค่ว่าทุกอย่างมันจะต้องไม่เลวร้ายตามอย่างที่ผู้เป็นพี่พร่ำบอก

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            ความรื่นเริงเมื่อครู่จางหายลงฉับพลัน  เด็กหนุ่มแทบจะกระทืบเบรคแล้วกระโดดลงจากตัวรถในทันทีที่มันจอดถึง พื้นที่เบื้องหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หลังใหญ่กลับหลงเหลือเพียงเศษซากหักพัง  กลุ่มนักเรียนมนุษย์กลายพันธุ์จ้องมองพวกเขาทั้งสี่เป็นสายตาเดียว

..ดูเหมือนจะไม่มีใครได้รับอันตรายจนถึงขั้นสาหัส

 

สก็อตต์เหลียวมองหาคนที่เขานึกกังวลถึงมากที่สุด กลับกลายเป็นคนเดียวที่ไม่ปรากฏตัวตรงนี้

 

“ เกิดอะไรขึ้น?! อเล็กซ์อยู่ไหน?  พี่ชายฉันอยู่ไหน? ”

 

“ เอ่อ.. ฉันมั่นใจว่าฉันพาทุกคนออกมาหมดแล้วนะ ” เจ้าของกลุ่มผมสีเงินกล่าวกับเขา  ..สก็อตต์จำชายคนนี้ได้ คนตรงหน้าคือปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์นี่เอง ทำให้เขาไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนจึงรอดพ้นจากแรงระเบิดนั่น

 

“ อเล็กซ์อยู่ใกล้จุดระเบิดมากที่สุด ”

 

            สรรพเสียงรอบกายเหมือนจะอื้ออึงไปในวินาทีนั้น  ฝ่ามือเยียบเย็นขึ้นฉับพลัน สก็อตต์เร่งฝีเท้าผ่านกองซากระเกะระกะไปยังตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะได้รับความเสียหายมากที่สุด อย่างน้อยอเล็กซ์ก็คงอาจจะบาดเจ็บอยู่ตรงนั้น  หากแต่สิ่งที่เขาพบเจอมีเพียงเถ้าถ่านและความว่างเปล่า

 

ทุกคนรอด ..ยกเว้นพี่ชายของเขา

 

            เขากลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว  ทรุดกายลงตรงนั้นก่อนจะสะอื้นไห้จนตัวโยน  ถ้าหากเขาได้อยู่ที่นี่ในเวลาที่เกิดเรื่อง.. ถ้าหากเขาไม่เป็นคนเริ่มคิดแผนแอบหนีเที่ยว..  ถ้าหากเขากลับมาให้เร็วกว่านี้.. ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงไม่ต้องสูญเสียอเล็กซ์ไปแบบนี้

 

ราวกับมีใครมากรีดเถือหัวใจ  ความรวดร้าวสาหัสเกินจะพรรณนา

ไม่มีแม้คำบอกลา.. ไม่มีแม้ชิ้นส่วนหรือเศษซากของเรือนกายให้ได้เห็น

หลงเหลือเพียงเถ้าถ่านที่เริ่มมอดดับจากกองเพลิง

.

.

 

เวลาดำเนินไปข้างหน้า หากแต่สก็อตต์กลับยังคงคุมขังตนเองไว้ในอดีต..

 

            ส่วนความเจ็บปวดเหล่านั้นก้าวเคลื่อนเป็นวงกลม  นับตั้งแต่วันที่พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาจากไป ความเศร้าโศกก็ซึมพรายในใจและเกี่ยวพันรัดแน่นจนแม้ผ่านพ้นวันเวลาเท่าไหร่ก็ไม่อาจคลายคืน  เขาไม่เคยหนีจากมันไปได้  เพียงแค่นึกถึงก็พบว่าตนเองวนกลับมายังจุดเริ่มต้นอันชวนให้รู้สึกร้าวยอกในอกอีกครั้งหนึ่ง..

 

สภาพจิตใจอันบอบช้ำเกินจะกล่าวส่งผลต่อการควบคุมพลังกลายพันธุ์  เขาไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับใครต่อใครได้เลยหากปราศจากแว่นที่กักเก็บพลังงานนี้ไว้  หรือถ้าหากถอดมันออก เขาก็ควบคุมพลังได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น  ความพยายามในแต่ละครั้งมันช่างยากเย็นเหมือนดั่งนกปีกหักที่ฝืนบิน

 

            ชายหนุ่มเอนกายพิงกับไม้ใหญ่  กำมือแน่นจนสั่น  น้ำตาที่หลงลืมไปแล้วเอ่อคลอขึ้นมา  ทั้งแววตาและอ้อมกอดอันเคยคุ้นของใครอีกคนจากช่วงเวลาที่เติบโตก้าวผ่านความทุกข์ความสุขมาด้วยกันฉายชัดในห้วงความทรงจำ  ความคะนึงหาท่วมท้นพรั่งพรู

 

ใบหน้าคร้ามคมแหงนมองแผ่นฟ้าเวิ้งว้าง สีฟ้ากระจ่างอย่างที่มันควรจะเป็นกลับถูกฉาบเคลือบด้วยสีแดงหม่นของเลนส์แว่น

โลกของเขาไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลยตลอดมา..

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

รู้สึกเหมือนได้เคาะสนิมยกใหญ่(แล้วก็เคาะด้วยความทุลักทุเลด้วยย ฮา) ถ้าไม่นับฟิคแปลก็ไม่ได้เขียนช็อตฟิคที่เกินสามพันคำมาค่อนข้างนานเลยค่ะ  การเขียนอาจดูไม่สมูธไปหน่อย แฮะๆ

ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ :3

[ฟิคแปล] What is light without darkness? (Kylux) II

Original:  What is Light Without Darkness?

 

 

Chapter II

 

              หลังจากที่การเจรจานั้นได้สิ้นสุดลง  เรนก็ได้ขอตัวออกจากห้องไปทอดทิ้งให้ฮักซ์อยู่เพียงลำพังท่ามกลางกลุ่มกองขี้เถ้า  เขายันกายลุกขึ้นจากเตียง ก่อเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางความเงียบงัน  เบื้องบาทสัมผัสลงบนพื้นเย็นเฉียบ ..ไร้ซึ่งชีวิตใดเติบโตขึ้นมา

 

องค์เทพก้าวตรงไปยังบานประตูและมองหาลูกบิด ..แต่ก็ไม่พบมัน

 

              ประตูโบราณตรงหน้าถูกขีดเขียนด้วยอักขระขรุขระที่เขาไม่อาจอ่านให้เข้าใจได้  นัยน์ตาสีมรกตเห็นมันเป็นเพียงแผ่นศิลา  ฮักซ์มองรอบเพื่อหาหนทางออกด้านอื่น  หากแต่ก็ไร้ประโยชน์  แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี? ได้เพียงแค่เฝ้ารอให้อีกฝ่ายกลับมาอย่างนั้นหรือ?  เขาจะถูกคุมขังไว้เช่นนี้ไม่ได้หรอกนะ

 

              ฮักซ์พ่นลมหายใจอย่างแรงด้วยความเบื่อหน่าย  ใครจะนึกว่าการถูกลักพาตัวจะน่าหวาดหวั่นได้ถึงขนาดนี้!  สิ่งเดียวที่ฮักซ์มองว่าแตกต่างคือบรรดาม้วนกระดาษบันทึกบนชั้นวางนั่น  เห็นได้ชัดว่าจ้าวแห่งยมโลกนั้นช่างไร้ระเบียบ จึงได้ปล่อยให้มันถูกวางอย่างกระจัดกระจาย ณ มุมห้องเช่นนั้น

              เขาหยิบมันออกมาหนึ่งม้วนและคลี่กางออกในทันที  ก่อนจะหันหลังมองอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูนั่นยังคงปิดสนิทหรือไม่  แผ่นกระดาษสีเหลืองหม่นช่างบางเบาเมื่อได้สัมผัสกับผิวเรื่อเรือง  หยดหมึกสีดำกระจายทั่ว  อักขระงดงามที่เขียนติดกันยาวเหยียดนั่นไม่ใช่ภาษาที่เขาเข้าใจได้  จึงไม่อาจล่วงรู้ใจความของเขา  ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก

             

เขาตัดสินใจวางม้วนกระดาษกลับยังที่เดิมของมัน  ใจไม่นึกอยากไปที่เตียงนั่นอีกแล้ว จึงตัดสินใจนั่งลงที่มุมห้องตรงนี้  ..อากาศโดยรอบช่างหนักอึ้งและหนาวเหน็บเสียเหลือเกิน

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

              เขาตื่นมาอีกครั้งด้วยอาการสะดุ้ง  ไม่รู้ว่าตนเองเผลอสู่ห้วงนิทราจากที่เดิมที่เคยนั่งในก่อนหน้านี้ไปเนิ่นนานเท่าไหร่  รู้เพียงว่าปวดคอจากการนอนผิดท่วงท่านั่น ..ให้ตายสิ

              เรนกลับเข้ามาในตัวห้องอีกครั้งหนึ่ง  ช่างน่าหวั่นวิตกที่เขารู้สึกถึงฝ่ายนั้นได้ก่อน  ไม่ต้องหันกลับไปมองก็ล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายถือถาดสีเงินไว้บนหัตถ์  รัศมีเทพที่เรนมีราวจะกรีดร้องวอนขอบางอย่างที่ฮักซ์ไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้

 

เจ้าต้องการอะไร?  เจ้าต้องการอะไร?

 

“ กินเสียเถิด ” จ้าวแห่งยมโลกที่ยังสวมหน้ากากอยู่ตามเดิมวางถาดลงบนลานเตียง

 

“ ข้าไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าหรอก ” เขาหัวเราะเหยียด

 

เรนกำหมัดแน่นคล้ายจะทนข่มอารมณ์เดือดดาล  กล่าวด้วยสุรเสียงที่หนักแน่นกว่าเก่า  “ ท่านต้องกิน ”

 

              ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นจนสามารถมองเห็นสิ่งที่วางบนถาดได้อย่างชัดเจน  มันคือทับทิมผมสวยสีแดงสดที่ตัดกับสีภาชนะ  เจ้าผลไม้นั่นถูกวางบนถ้วยแก้วรูปทรงวิจิตร  ราดรดจนฉ่ำด้วยไวน์ชั้นเลิศ  ชวนให้ลิ้มลองยิ่งนัก

 

              ทันใดนั้นเอง  สิ่งที่ผู้เป็นมารดาเคยบอกกล่าวเอาไว้ก็พลันดังขึ้นในความคิด  เธอเคยบอกว่าการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มจากโลกอื่นอาจทำให้ถูกจองจำในโลกนั้นไปชั่วชีวิต  รัศมีเทพที่แผ่มาจากเจ้าของผมแดงเพลิงเรื่อวาวเนื่องด้วยความเดือดดาล  เทพองค์นี้กล้าดีอย่างไรกัน! นี่มันเป็นการทารุณกรรมแล้วนะ!

 

“ สิ่งที่ข้าปรารถนาคือไปให้พ้นจากที่แห่งนี้  ข้าพึงพอใจกับบรรดาความรู้มากกว่าการต้องร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้า นายท่าน ” ฮักซ์เอ่ยคำเรียกประชดประชัน

 

เรนหันมองยังบรรดาม้วนกระดาษบนชั้นวาง  ความเงียบงันก่อตัวขึ้นครู่ใหญ่  ฮักซ์หรี่ตาเพื่อมองใบหน้านั้น  ทว่าราวกับมีเงาทะมึนคลี่คลุมอยู่ จึงไม่อาจมองเห็น ..เรนมองเห็นได้อย่างไร?

 

“ เอาล่ะ.. ” ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว  “ ท่านจะออกมาเดินเล่นข้างนอกด้วยกันหรือไม่? ”

 

              ร่างเล็กกว่าลุกขึ้นแล้วเขยื้อนกายเข้าใกล้เทพตรงหน้า  ฮาเดสยื่นแขนข้างขวาให้ตามมารยาทที่พึงกระทำ ..ทำอย่างไรก็ได้ให้ออกจากห้องนี้เสียที.. ฮักซ์คว้าท่อนแขนนั่นไว้

“ ข้าจะไปด้วย ”

 

              บานประตูเปิดออกให้คนทั้งคู่  ทางเดินขนาดกว้างที่ปูด้วยหินอ่อนปรากฏให้เห็นตรงหน้า   ทั้งสองเยื้องย่างจนมาถึงทางออก  ฮักซ์สังเกตได้ว่าผนังที่ขนาบทั้งสองข้างนั้นมีรูปร่างเป็นเกลียวคลื่น  บางส่วนถูกดันนูนออกมา  คล้ายว่ามันกำลังเริงรำ ..หรือหายใจ

 

              ทอดผ่านขอบโค้งของซุ้มประตู  ก็ปรากฏเป็นพื้นที่กว้างขวางอันเปี่ยมกองทรายชื้นสีเทา  และซากเสาหักพังทรงประหลาด พื้นที่นี้ดูจะไร้ซึ่งหลังคาปกคลุมหรือแม้แต่จุดสิ้นสุดก็ไม่อาจหาได้  ช่างแตกต่างจากสวนสวยของเขายิ่งนัก  ที่นี่ไม่มีแม้ต้นหญ้าสูงหรือแสงแดดอาบไล้ผิวแก้ม  มีเพีงผืนดินแตกระแหงกับอากาศเย็นเยือก

              เรนก้าวนำอย่างเชื่องช้า พาเขาสำรวจดินแดนยมโลก  ยอดเสานั้นกลืนหายไปกลุ่มหมอก ฐานประดับด้วยรูปปั้นหินขนาดมหึมา  สูงราวร้อยฟุตเห็นจะได้  พวกยักษ์ทนแบกมันด้วยสีหน้าทรมาน  นั่นทำให้ฮักซ์หวาดหวั่นจนต้องสรรหาบางอย่างมาพูดเบี่ยงความสนใจ

 

“ ประตูนั่น ”

 

“ ทำไมหรือ? ”

 

“ มันเปิดตามคำสั่งของเจ้าเท่านั้น  ข้าไม่ใช่นักโทษนะเรน ”

 

“ เชื่อข้าเถิด.. ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของท่าน ”

 

“ เจ้าลักพาข้ามาด้วยซ้ำ  มีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ”

 

คราวนี้ฮักซ์ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว  อีกฝ่ายกำลังเหยียดยิ้มภายใต้หน้ากากมืดทึบนั่น  “ ท่านช่างอวดดี ”

 

“ เจ้าว่าข้าอวดดีเพราะพูดความจริงอย่างนั้นหรือ?! ” ฮักซ์กล่าวด้วยความหงุดหงิด

 

“ แน่นอน ”

 

              พวกเขาทั้งคู่มาหยุดยืนยังริมแม่น้ำ  ฮักซ์ได้ยินเสียงหนึ่ง และพบกับฝูงอาชาที่ฮาเดสควบขี่ขึ้นมาลักพาตัวเขา  พวกมันเดินวนเวียนห่างออกไปไม่ไกลนัก บางตัวสยายปีกกว้าง  เจ้าของผมแดงเพลิงเฝ้าดูเหล่าอาชานั้น เพราะเขารู้ว่าครั้งนี้พวกมันจะไม่ทำอะไรเขา

 

ความงามอันแสนพิศวงนั่นชวนให้เขาเพ่งพิศมัน  

 

“ ท่านไม่เหมือนกับเทพองค์อื่น ” ฮักซ์สะดุ้งจากการขัดจังหวะของอีกฝ่าย แทบลืมหายใจ  “ อย่างที่ข้าบอก.. ท่านมีความงดงาม แต่ไม่เพียงเท่านั้น  ท่านยังกล้าหาญ  มีปัญญา และ.. ”

 

ฮักซ์หันมองยังหน้ากากที่เขานึกชิงชังนักก่อนจะเลิกคิ้ว  “ และอะไร? ”

 

“ ความเปล่งปลั่งนั่น ”

 

นั่นทำให้รัศมีเทพของฮักซ์ยิ่งเจิดจ้า  เขาเบือนหน้าไปอีกทาง หลบเลี่ยงพยายามไม่ฟังชีพจรที่เต้นรัวของตนเอง ..คำพูดของเจ้ามันชวนให้ข้าสับสนนัก..

 

              เขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน  ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเทพไม่ควรรู้สึกเช่นนี้  ฮักซ์คิดว่าต้องเกิดจากบรรยากาศโดยรอบเป็นแน่ที่ลิดรอนเรี่ยวแรงเขาไปทุกขณะ  ฮักซ์มองหาหนทางหนีด้วยความหวังลางเลือน  เขาทำตามข้อตกลงนั่นเพียงเพราะต้องการไปจากที่นี่

 

              พวกเขาพูดคุยกันถึงภพภูมิของตนเอง  เรนยังคงยืนอยู่ได้และไร้ซึ่งท่าทีเหนื่อยล้า  ฮักซ์เล่าถึงบรรดาพี่น้องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเทพเฮอร์มีสหรืออโฟรไดท์  นับตั้งแต่ที่ฮาเดสจากมา  ฝ่ายั้นอาจอยากรู้ถึงความเป็นไป

จ้าวแห่งยมโลกบอกกับเขาว่าสามารถสื่อสารทางจิตกับบรรดาอาชาเหล่านั้นได้หากพูดคุยกับมันอย่างอ่อนโยน  นั่นทำให้ฮักซ์นึกเสียดาย.. พวกมันต่างมีชื่อของตนเองและจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายนัก

 

เรนยังบอกว่าจิตใจของเจ้าตัวไม่เคยสงบสุข

 

“ หมายความว่าอย่างไร? ”

 

“ ข้าได้ยินมัน ” ชายหนุ่มมองรอบ  “ เหล่าวิญญาณ  พวกมันทั้งหมด กรีดร้องทรมาน  นี่แหละสิ่งที่ข้าต้องเผชิญ ”

 

“ โอ้.. ”

 

เรนยกแขนแล้วยื่นมาให้  “ ควรแก่เวลาที่ต้องกลับแล้ว  มาเถิด ” ฮักซ์มองยังหน้ากากนั่นสลับกับเรียวมือ  ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปคว้าแขนนั่นไว้

 

              และเมื่อกลับมาจนถึงตัวห้อง  ฮักซ์ก็ยังยืนยันที่จะปฏิเสธอาหารและไม่นึกสนใจถึงสายตาของเรนที่จับจ้อง ..สายตาที่แม้เขาไม่เห็นก็รู้สึกได้

              ก่อนที่บานทวารานั้นจะปิดลง  ฮักซ์ดลบันดาลให้ดอกคาร์เนชั่นสีขาวผลิสะพรั่งระหว่างประตูกับตัวกรอบนั่นอย่างระแวดระวัง  หลงเหลือพื้นที่น้อยนิดให้มันยังพอเปิดออก และเมื่อมันถูกกดทับจนแหลกสลาย  เขาบันดาลให้มันผลิขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง ..ต่อให้มันจะลิดรอนแรงกาย หากแต่เขาก็ยังคงกระทำมันจนกว่าอีกฝ่ายนั้นจะลับสายตา

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

[ฟิคแปล] What is light without darkness? (Kylux) I

Title: What is light without darkness?

Pairing: Kylo Ren/Hux

Genre: Hades and Persephone AU 

Original:  What is Light Without Darkness?

 

 

Chapter I 

 

ดอกนาร์ซิสซัส..

 

              ฮักซ์โน้มตัวลงเด็ดเอาดอกนาร์ซิสซัสสีขาวบริสุทธิ์จากในสวนสวยพื้นที่สุดลูกหูลูกตา  ท่ามกลางต้นหญ้าสูงและสายลมอ่อนจางที่พริ้วแผ่วมาสัมผัสบนผิวแก้ม เสียงขับกล่อมจากหมู่ไม้ช่างระรื่น  แผ่นเท้าเปล่าเปลือยย่างกรายตามผืนดิน  สัมผัสถึงพลังชีวิตที่กำลังเติบโตขึ้น

 

              แสงสุริยันจัดจ้าจากเบื้องบนนั้นไม่อาจระคายผิวเนื้อเขาเลยแม้แต่น้อย เทพเฮลิออสเพียงแต่กระทำตามหน้าที่ของตน  ชายภูษาขาวเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนหากแต่ผืนสีเขียวที่คลุมร่างทางด้านซ้ายและคล้องเอวเขาไว้อย่างพอดีนั้นเป็นผืนใหม่.. ของขวัญจากผู้เป็นมารดา

 

ทันใดนั้นเอง.. เขาได้ยินเสียงร้องของอีกา

 

              มันหาใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตตนนี้นับตั้งแต่ท่านแม่ได้มอบหมายให้ฮักซ์ปกปักษ์พื้นที่แห่งนี้  มันร่อนลงเกาะยังขอบไม้ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขานัก ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นคล้ายจะจับจ้องเขาทุกฝีก้าว

              ฮักซ์ไม่ชอบมันเลยสักนิด มันทำให้มวลหมู่ผีเสื้อต่างพากันตื่นตระหนก กระพือปีกเวียนว่อน บางตัวร่อนกายลงบนลาดไหล่ของเขาเพื่อต้องการที่พึ่งพิง

 

นกกาอีกตัวบินโฉบลงมา อีกตัวและอีกตัว..

 

              พลันนั้นผืนนภาแจ่มกระจ่างกลับขมุกขมัวด้วยกลุ่มเมฆสีเทาเข้มครึ้มในทันใด และบรรดาฝูงกาต่างพากันบินร่อนวนเวียนรอบกาย ทั้งที่ในก่อนหน้านั้นพวกมันไม่อาจหาญจะเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ  มีบางอย่างเกิดขึ้น ฮักซ์เริ่มคิด.. บางอย่างที่ไม่ดีอย่างมากเสียด้วย

 

              ความประหวั่นพรั่นพรึงแล่นพล่านทั่วกาย คล้ายดั่งสายน้ำเย็นเฉียบสาดเทเข้าอย่างจัง  ขนอ่อนที่ต้นคอลุกเกรียวราวได้ยินเสียงกระซิบจากปีศาจ  เรือนร่างสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ ลมหายใจหนักหน่วง สิ่งเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้คือ.. วิ่ง

 

              เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของตนเองนั้นจะเป็นที่ใด ขาเพรียวเพียงแต่เร่งลัดเลาะไปตามป่า  หวังให้บรรดาพฤกษาไพรช่วยเขาหลบซ่อนจากความมืดมิดที่คืบเคลื่อนตามมา และยังคงตามมาอย่างต่อเนื่องอยู่เช่นนั้น

 

              กิ่งก้านกระทบกระแทกกับผิวหน้าและใบไม้ก็ติดพันอยู่บนกลุ่มผมสีแดงเพลิง ปรากฏรอยขีดสีแดงบนปรางนุ่ม เจ็บแสบยิ่งนักหากทว่ารอยแผลนั่นสมานตัวอย่างรวดเร็ว ก้อนหินขีดข่วนตามหัวเข่าและเขาหอบเอาอากาศอยู่พักใหญ่  เงาทะมึนนั่นเข้าใกล้บริเวณปลายเท้า ฮักซ์พยายามสร้างกำแพงแมกไม้ขึ้นมากางกั้นหากแต่ก็ช้าเกินกว่าการขยับเขยื้อนของมัน มันใกล้มาจนถึงข้อเท้าของเขาแล้ว

 

เขารู้สึกได้..

 

นัยนาเบิกกว้างเมื่อตระหนักรู้ว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว เงาทะมึนนั่นเคลื่อนขึ้นมาตามเรียวขาซึ่งทำให้เขาหล่นร่วง ไม่สามารถปัดป่ายมันออกได้เลย

 

              นี่คงต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเทพสักองค์ให้ขบขันเป็นแน่  ซึ่งฮักซ์คิดว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งอันหยาบโลนยิ่งนัก  เจ้าของผมแดงเพลิงหันมองยังบุคคลที่ไล่ล่าเขาอยู่ ก่อนจะพบว่าเงาทะมึนนั่นก่อรูปร่างปีกกว้าง พื้นพสุธาตรงหน้าแยกออกด้วยเสียงที่คล้ายกับสายฟ้าฟาด  เขาพยายามถดกายหนี

 

              อาชาสีดำมืดปรากฏขึ้นมาจากรอยแยกนั่น นัยน์เนตรสีแดงชาดพร้อมด้วยปีกสยายบนอานหลัง กีบเท้าเป็นกรงเล็บ  ปลายจมูกนั่นแหลมยาวประหนึ่งเป็นปากของอีกา  ช่างเป็นปีศาจที่ฮักซ์ไม่คาดฝันจะได้พบเจอด้วยตาตนเอง

 

              ใครคนหนึ่งควบขี่บนอาชาปีศาจตนนั้น เรือนกายของคนผู้นั้นคลี่คลุมด้วยภูษาดำสนิท  มันชะงักให้ผู้เป็นนายย่างลงผืนดิน พันธุ์พืชที่รายล้อมเริ่มพากันเหี่ยวเฉาและแห้งกรอบ สายตาของฮักซ์จับจ้องด้วยความหวั่นวิตก

 

เทพแห่งฤดูใบไม้ผลิชะงักนิ่งบนพื้นขณะที่อีกฝ่ายนั้นย่างกรายเข้าใกล้  หน้ากากที่ปกคลุมบนใบหน้าประดับด้วยปากอีกาแหลมยาวเช่นกัน  ฮักซ์รู้สึกชิงชังมันยิ่งนัก

 

“ ขอประทานอภัย ” สุรเสียงนั่นบิดเบี้ยวเจือด้วยความปวดร้าว

 

“ อภัยงั้นเหรอ? ” ลำคอของฮักซ์แห้งผาก กระนั้นเองเขายังคงพยายามเปล่งเสียงอย่างสุดความสามารถ  ที่แห่งนี้เป็นดินแดนของเขาและเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกปักษ์ไว้ให้ถึงที่สุด  เพื่อให้ผู้เป็นบิดาภาคภูมิใจ  “ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!

 

บุคคลนั้นเพียงแต่เอนศีรษะ และเอื้อมหัตถ์ออกมาแนบแตะบนหน้าผาก ทว่าฮักซ์รีบปัดมันออก จนเมื่อได้รับสัมผัสจากปลายนิ้วนั่นอีกครั้งหนึ่ง เรือนกายก็พลันหนักอึ้ง แม้จะเขยื้อนแขนยังทำได้ลำบาก และเมื่อเงาทึบนั่นเคลื่อนเข้ามาจนประชิดตัว เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วจาง

 

ความมืดมิดเข้าคลี่คลุมภาพตรงหน้า

พร้อมสติของเขาที่ดับวูบลง

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

มวลอากาศช่างหนักอึ้งนัก..

 

นั่นเป็นสิ่งแรกที่ฮักซ์รู้สึกหลังจากฟื้นคืนสติ  นัยนาสีเขียวจางปรือขึ้นและพบว่าตนเองอยู่บนเตียงขนาดกว้าง  ใบหมอนจำนวนเกินพอดีกระจัดกระจายทั่วผืนผ้าปูสีเข้ม

 

ตัวห้องมืดทึบ  คล้ายว่ากลุ่มขี้เถ้าเกาะตัวจับแน่นบนผนัง  ด้านหนึ่งมีชั้นวางตั้งอยู่ เรียงรายด้วยม้วนกระดาษเก่าและฝุ่นเขรอะ  ฮักซ์เอนกายนิ่งงันอยู่พักใหญ่  ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งชีวิตชีวาและมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด

 

“ สบายดีหรือไม่? ”

 

เสียงนั่นอีกแล้ว  ปลายสายตารู้สึกได้ถึงร่างหนึ่ง  ความรวดร้าวแผ่ซ่านมาจากคนนั้น

 

“ เจ้าเป็นใคร? ” องค์เทพกระซิบแผ่ว ไม่แม้แต่จะผินพักตร์ไปมอง  “ ข้าอยู่ที่ไหน? ”

 

“ ข้าจะบอก ” อีกฝ่ายกล่าว  “ ก็ต่อเมื่อท่านมองมาที่ข้าและเอ่ยชื่อท่าน ”

 

              โทสะอารมณ์คุกรุ่นในอก  เหตุใดมันจึงอาจหาญเอ่ยวาจากับเทพอย่างเขาเช่นนี้?  เขาเองไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามันเป็นใคร  ฮักซ์เบือนพักตร์มองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าว

 

“ ข้าคือเพอร์ซิโฟเน่  ข้ามีหลากหลายนาม  หนึ่งในนั้นคือฮักซ์ ” แทบจะเข่นเขี้ยวตอบ  “ ทีนี้บอกข้ามาว่าที่นี่ที่ไหน?!

 

หากได้ตั้งใจฟังจะพบว่าสิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเสียงหัวเราะแผ่ว

 

“ ข้าคือฮาเดส  แต่ได้โปรดเรียกข้าว่าไคโล เรน ” มันเอ่ยตอบขณะที่ย่างกรายฝีเท้าตรงเข้ามา เงาทึบทะมึนคืบคลานตามมาไม่ห่าง  “ ที่แห่งนี้คือนรก ”

 

              ฮักซ์พยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงความรู้สึกใดผ่านสีหน้า  รอยแผลซีดจางบนปรางนุ่มเลือนหายไปแล้วราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่  เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของคนตรงหน้าจากเทพองค์อื่นในงานเฉลิมฉลองมาหลายครั้งหลายครา  ไม่ได้อยากจะแอบฟังหรอกนะ  เทพควรรู้ความจริงเมื่อถึงแก่เวลา

 

เจ้าของกลุ่มผมแดงเพลิงมิเคยได้พบเจออีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้

 

“ เหตุใดเทพเช่นเจ้าจึงพาข้ามายังที่รโหฐานของเจ้าเล่า?  พามิได้ยินยอมเลยสักนิด ”

 

              เทพตรงหน้าที่ยังคงสวมหน้ากากนั่นอยู่เอนศีรษะเล็กน้อยอย่างคนตกในภวังค์สงสัย  ช่างคล้ายคลึงกับอีกายิ่งนัก  ฮักซ์ถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิด ราวกับตัวเขาเป็นยอดอัญมณี รัศมีแห่งเทพเปล่งประกายออกมาเล็กน้อยเนื่องด้วยความสับสน  บุปผาขนาดเล็กเติบโตขึ้นภายใต้เบื้องบาทเลื้อยขึ้นมาพันรอบข้อเท้า ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็จางหาย  อย่างไรเสียก็นับว่าดีแล้วในสถานที่อันไร้ซึ่งชีวิตชีวาแห่งนี้

 

รัศมีเทพของเขาดับวูบลง

 

“ ความงดงาม ” คำพูดถูกเปล่งมาจากเจ้าของหน้ากากทรงประหลาดนั่น  ฮักซ์เพิ่งได้สังเกตว่าไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว

 

“ เจ้าว่าอะไรนะ? ”

 

“ ท่านมีความงดงามอยู่ในตัว ” ฝ่ายนั้นเอ่ยขณะที่ย่างมาจนถึงปลายเตียง  “ มันช่างเย้ายวน ข้าไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในโลกเน่าเฟะนั่น  ข้าว่า.. ข้าต้องได้เพ่งพิศให้ใกล้ชิด ”

 

ฮักซ์ไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนั้นมาก่อน  มันกระทบโสตอย่างรุนแรงราวสายฟ้าของซุสผ่ากลางร่าง  “ เจ้าได้เห็นมันมากพอแล้ว  ข้ากลับได้หรือยัง? ”

 

“ ไม่!

สุรเสียงแข็งกระด้างตวาดขึ้นจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่นั้นอีกฝ่ายเพิ่งได้ชื่นชมเขาไป  มันทำให้ฮักซ์เผลอถดร่างหนีจนยิ่งแนบกับหมอนหนุน

 

“ ขออภัย ” ฝ่ายนั้นเอื้อมหัตถ์มาหมายจะสัมผัสหากแต่ก็กลับหยุดค้างไว้  “ ได้โปรดพำนักอยู่ที่นี่ ”

 

เทพประจำฤดูใบไม้ผลิจ้องมอง  “ ถ้าข้าอยู่ ท่านจะมอบสิ่งใดให้กับข้า? ”

 

ความเงียบงันก่อตัวขึ้นครู่หนึ่ง  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแผ่วเบาจากการขยับปีกของอีกาเบื้องหลังเงามืดนั่น

 

“ ข้ามอบความรู้ให้ท่านได้  แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่าน ”

 

“ เกี่ยวกับชีวิตและความตายงั้นหรือ? ”

 

“ ทุกสิ่งที่ท่านปรารถนา ”

 

ฮักซ์หรี่นัยน์ตาลง  ความมืดมิดอย่างที่แห่งนี้หาใช่สิ่งที่เข้ากันกับพลังของเขา  การได้เรียนรู้อาจช่วยยามเมื่อกลับขึ้นไปยังพื้นโลกได้  บางที.. ท่านบิดาอาจประทับใจในความปราดเปรื่องนั่น และถ้าหากเห็นท่าไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่  เขาก็จะหาหนทางหนีไปจากที่นี่เอง

 

“ ถ้าเช่นนั้น.. ข้าตกลง ”

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

*กระอักเลือด* ตอนอ่านไม่คิดว่าแปลแล้วจะยากขนาดนี้  ต้นฉบับเขียนไว้ดูสวยมากเลยอะค่ะ พอแปลแล้วภาษาดูมั่วยังไงบอกได้นะคะ TwT

[ฟิคแปล] Tell me when you’re gonna let me in (Tony/Steve) II

Title: Tell me when you’re gonna let me in

Pairing: Tony Stark/Steve Rogers

Genre: Alternate Universe, Fluff

Original: tell me when you’re gonna let me in

Part II

 

            ในคืนวันที่ 29.. เปปเปอร์กับนาตาชาก็ลากโทนี่มาที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง  ก่อนจะทิ้งเขาไว้แทบจะทันทีแล้วไปจู๋จี๋กันสองต่อสอง  เขานั่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ จนกระทั่งนาตาชามองมา เขาจึงลุกขึ้นพร้อมกับทอดถอนหายใจ

 

            จุดประสงค์ของเขาในตอนนี้มีเพียงการหายไปจากที่ตรงนี้เท่านั้น  กระทั่งปลายสายตาสะดุดเข้ากับกลุ่มผมบลอนด์อันแสนคุ้นเคยที่ทำให้ตนเองเปลี่ยนใจ  เขาชะเง้อหาจนได้พบว่าสตีฟอยู่ที่นี่  ขณะที่บัคกี้กำลังยืนพูดคุยกับสาวอยู่ข้างๆ  ฝ่ายนั้นโบกมือเรียกโทนี่ยามเมื่อสองสายตาบังเอิญสบกัน

 

“ นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย? ” โทนี่ถามคำถามงี่เง่านั่นทันทีที่ใกล้อีกคนจนสามารถได้ยินกันและกันได้

 

สตีฟพยักเพยิดไปทางบัคกี้  “ บัคกี้ชวนมาน่ะครับ ” คนตรงหน้าเลิกนัยน์ตาไปอีกทาง ก่อนจะเซเล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้โทนี่ประหลาดใจพอสมควรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเมา เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะ

 

“ เฮ้ โทนี่ ” สตีฟเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นเองที่สองร่างใกล้ชิดจนเกินพอดี ใกล้.. เสียจนโทนี่สามารถเห็นกระทั่งเงาของแพขนตาที่ทาบทับลงบนผิวแก้มนั่น  “ อยากเต้นกับผมมั้ย? ”

 

โทนี่นึกอยากจะปฏิเสธ  ทว่าสตีฟก็ลากพาเขามาจนถึงฟลอร์เต้นรำเสียแล้ว เขาพยายามนึกภาพการเต้นของสตีฟครู่หนึ่ง (ท่าเต้นเชยสะบัด สับเปลี่ยนเท้าไม่ชำนาญ วางมือบนเอวของเขา ดูน่าอายแต่ก็ยังมีความตั้งใจ) ทันใดนั้นเองที่อีกฝ่ายเคลื่อนเข้าใกล้จนแนบชิดกันไปทุกส่วน  คว้าเอวเขาไว้ แต่ไม่ได้เชยสะบัดอย่างที่คิดเอาไว้หรอกนะ  กดนิ้วลงกับสะโพกจนเขาคิดว่าน่าจะทิ้งรอยไว้เป็นแน่ โอเค.. สิ่งที่เขาคิดอาจไม่ใช่เรื่องที่แย่แล้วก็ได้

 

ทั้งคู่โยกย้ายตามจังหวะ  ท่วงทำนองแสบสันทว่าคลอด้วยเสียงเบสทุ้มต่ำ  โทนี่เริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับมัน  หลงลืมเรื่องที่จะกลับไปเสียสนิท  สตีฟแนบใบหน้าซบกับลำคอของเขา  โทนี่สะดุ้งยามเมื่อรู้สึกได้ถึงเรียวปากที่กำลังแนบแตะบนผิวเนื้อ

 

“ นายจะทำอะไรเนี่ย? ” โทนี่นึกประหลาดใจที่ตนเองยังสามารถนึกคำพูดอะไรออกได้

 

คราวนี้ริมฝีปากนั่นไม่ได้กดจูบอีกต่อไป  สตีฟเพียงแต่ซบใบหน้าลงกับเสื้อของเขา ซึ่งโทนี่ไม่ถือสามันหรอก ไม่เลยสักนิด

 

            ค่ำคืนนั้น.. ท่ามกลางแอลกอฮอล์และอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านในกระแสเลือด  เขานึกตระหนักได้ว่ามันคงเป็นพื้นที่ระหว่างเรา  ความร้อนรุ่ม  ความใกล้ชิดที่มีแอลกอฮอล์  สตีฟไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง

 

แต่นั่นทำให้โทนี่ไม่ได้นอนแทบทั้งคืน..

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

 

โทนี่ตกหลุมรักสตีฟ โรเจอรส์เมื่อตอนไหนน่ะเหรอ?  เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้..

 

            มันเกิดขึ้นก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหนุ่มล่ำบึ้กเสียอีก  ก่อนที่การเจริญเติบโตทางกายซึ่งช้ากว่าคนปกตินั่นจะดำเนินไป  ความสูงก็ยังน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเกือบสิบนิ้ว  มันอาจจะดูแปลกประหลาดพอสมควร เพราะมันเกิดขึ้นที่.. งานเลี้ยงวันเกิดของเด็กคนหนึ่ง

 

ก็สตีฟน่ะโคตรเป็นคนดีที่สุดในโลก  ทั้งยังดำเนินความเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ไม่ใช่แค่คงความสัมพันธ์ไปตามหน้าที่เท่านั้น  สตีฟตอบรับคำชวนไปงานวันเกิดลูกชายของเพ็กกี้ด้วยซ้ำ  และเจ้าตัวก็พาโทนี่ไปด้วย

 

            น้องธอร์เป็นเจ้าเด็กตัวจ้อยแสนน่ารัก  ยิ้มกว้างกรุ้มกริ่มแม้จะอายุได้เพียงขวบเดียวเท่านั้น   เด็กน้อยคลานเตาะแตะมาหาทันทีที่โทนี่เดินเข้ามา  ผมบลอนด์หยักลอนนั่นยาวเลยใบหู  นัยน์ตาสีฟ้าใสแจ๋ว  เพ็กกี้เดินตามหลังออกมา  ความสวยของเธอไม่สร่างลงเลยจริงๆ

 

“ สตีฟ! คุณมาแล้ว! โทนี่.. ยินดีที่ได้พบคุณค่ะ ”

 

โทนี่อุ้มเจ้าหนูธอร์ขึ้นมา  แกล้งแลบลิ้นใส่จนเด็กน้อยหัวเราะเอิ้กอ้าก  ก่อนจะทุบเขาเบาๆด้วยกำปั้นจิ๋วๆนั่น  โทนี่ยิ้มกว้าง

 

            ใครคนหนึ่งพลันหัวเราะขึ้นมา และเมื่อโทนี่หันมองยังที่มาก็พบกับรอยยิ้มน่ารักของสตีฟ  นัยน์ตาสุกใสของเพ็กกี้และบัคกี้ที่ตรงเข้ามากดจูบบนกลุ่มผมของเธอ  ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับแสงอรุณยามแรกแย้ม

 

            เห็นมั้ย.. เขาไม่ได้เกลียดเพ็กกี้ที่หักอกสตีฟหรอกนะ  ไม่เกลียดเลยสักนิด  เธอน่ะมันโคตรคนจริงแล้วยังซื่อสัตย์มากๆอีกต่างหาก  ทั้งเธอและบัคกี้ก็ต่างรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งคู่บอกกับสตีฟว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆและไม่ได้เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย  แต่สตีฟก็ยังยืนยันให้คบกันต่อไปเพื่อให้คนทั้งคู่มีความสุข  นั่นแหละสตีฟ.. ต่อให้มีสิ่งใดมาทำลาย  ฉีกกระชากหัวใจเป็นชิ้นๆขนาดไหน  สตีฟก็ยังคงจะยอมรับหากนั่นทำให้ใครสักคนมีความสุข

 

โทนี่พยายามมองหาความรวดร้าวบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบ  เขารู้ว่าอย่างไรเสียสตีฟก็ทำใจได้  แต่เขาก็อยากตรวจดูให้มั่นใจ  โทนี่คิดว่าเขาคงไม่อาจทนกับภาพโศกเศร้าของสตีฟเหมือนครั้งแรกที่เจอกันเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วได้อีก

 

เขาอุ้มธอร์ส่งให้สตีฟ  ฝ่ายนั้นหัวเราะร่ายามเมื่อเด็กน้อยจุ๊บทั่วแก้ม  “ ไงเจ้าหนู ” สตีฟเอ่ยทักทาย  “ คุณน้าโทนี่ตลกรึเปล่า? ”

 

น้องธอร์พยักหน้าอย่างจริงจัง  เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดเกินเด็กอายุหนึ่งขวบทั่วไปด้วยซ้ำ  อดภูมิใจแทนไม่ได้จริงๆ

 

หลังจากต้องส่งเจ้าหนูธอร์คืนให้ผู้เป็นพ่อแม่ สตีฟก็แอบมากระซิบกับโทนี่  “ ผมอยากมีอย่างนี้สักวันบ้างจัง คิดว่านะ ไม่มีอะไรทำให้ผมมีความสุขได้มากกว่าพวกเด็กๆเลย ”

 

โทนี่คิด.. มีเด็กๆด้วยกันมั้ยล่ะ

 

เขาเริ่มมองรอบๆราวกับจะมองหาว่ามีใครเอาประโยคนั่นมาใส่ในหัวเขารึเปล่า  อืม.. ก็นั่นแหละ..

 

โทนี่หันมองยังสตีฟ  รู้สึกเหมือนหมู่มวลผีเสื้อกำลังขยับปีกบินว่อนทั่วท้อง ..พระเจ้า  ผมตกหลุมรักคนนี้เข้าให้แล้ว

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

ในวันที่ 30.. พวกเขาต้องช่วยกันดูแลเจ้าหนูธอร์ขณะที่บัคกี้ช่วยเปปเปอร์จัดงานปาร์ตี้  ส่วนเพ็กกี้นั้นไปเยี่ยมพี่สาวของเธอ  โทนี่นึกสงสัยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาสนิทกันขนาดนี้

 

แน่นอนว่าพวกนั้นพาเขาไปช๊อปปิ้งด้วย

 

“ โทนี่ ” สตีฟตะโกนเรียกเขาจากในห้องลองชุด  “ เลิกสอนธอร์เรื่องมาเฟียซะที ”

 

โทนี่แสร้งทำเสียงสำนึกผิด  “ ขอโทษที ” เขากล่าวอย่างนั้น แต่กลับแอบกระซิบกับธอร์ว่า  “ เราค่อยว่ากันต่อวันหลังเนอะ ”

 

“ ผมได้ยินนะโทนี่ ”

 

“ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ ”

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ทีเดียว สตีฟจึงออกมาจากห้องลองชุดพร้อมด้วยกางเกงที่แน่นตึงที่สุดเท่าที่โทนี่เคยเห็น  “ คุณคิดว่าไง? ”

 

โทนี่ทำได้เพียงกะพริบตา

 

“ ไม่ใช่แนวผมเลย ว่ามั้ย? ” สตีฟหมุนตัวไปรอบๆ  จ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกบานใหญ่  “ ผมคงไม่เลือกมันหรอกถ้าคุณไม่มาด้วยน่ะโทนี่ ”

 

“ ฉันรู้ว่าฉันโน้มน้าวใครไม่เก่งหรอกนะ แต่ว่า.. ” โทนี่พยายามนึกคำพูด คว้าเจ้าหนูธอร์มาไว้ในอ้อมแขน  “ นายควรใส่มันเลยล่ะ ถ้านายไม่เอานะฉันจะซื้อมันเอง พระเจ้า.. ฉันยอมซื้อทั้งร้านเลยก็ได้เพื่อให้ได้มันมา  ฉะนั้น เลือกตัวนี้ซะ โรเจอรส์ ”

 

สตีฟเลิกคิ้ว  “ แค่พูดว่ามันดูดีอยู่แล้วก็ได้นะครับ ”

 

“ ก็ใช่ แต่นายก็คงไม่เชื่อฉันไง ”  พระเจ้า.. ดูก้นแน่นๆของสตีฟนั่นสิ  นี่มันสุดยอดจริงๆ

 

ไม่สิ.. อย่าเพิ่งมองเรื่องนั้นก่อน  เขาแค่หวังว่าตนเองจะโชคดี

 

“ คุณไม่คิดเหรอว่าเปปเปอร์จะไม่โอเค  แบบว่ามัน.. เอ่อ.. ดูเน้นสัดส่วนไปหน่อยสำหรับงานปาร์ตี้ของเธอ ”

 

โทนี่มองหน้าอีกฝ่าย “ เปปเปอร์ต้องชอบอยู่แล้ว  ใครๆก็ต้องชอบ  เอาตัวนี้แหละสตีฟ ”

 

สุดท้ายสตีฟก็เลือกกางเกงตัวนั้น

ขอบคุณพระเจ้า และ.. ไว้อาลัยเขาด้วย

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

พอเริ่มอายุยี่สิบ.. สตีฟก็ออกกำลังกายมากขึ้น  มีเนื้อมีหนังมากกว่าเดิม และความสูงก็เพิ่มขึ้นด้วย  นาตาชาเคยแซวเขาเล่นว่าจะเคลมให้ได้  และทันใดนั้นเองใครๆก็ต่างหมายปองสตีฟ

 

ต้องการเหมือนอย่างที่โทนี่ต้องการ..  และแน่นอนว่าโทนี่โคตรหึงเลย!

 

อาจเป็นการดื่มท่ามกลางความสมเพชเวทนากับตนเองในงานปาร์ตี้ที่มีเปปเปอร์เข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว (ซึ่งหลังจากนั้นเธอก็เบื่อหน่ายกับการคร่ำครวญของเขาและปฏิเสธที่จะมาร่วมในที่สุด  ซึ่งก็ไม่เป็นไร.. อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาว่าเขาเรื่องที่ชอบดูหนังของราเชล แม็คอดัมมากเกินไปอีกแล้ว)

 

“ บางทีผมก็คิดนะว่า เอ่อ.. ” สตีฟเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งในคืนดูหนังของพวกเขา (สัปดาห์ละสองคืน)  “ บางครั้ง เอ่อ.. ผมหมายถึง.. .. ผมกลัวว่า กลัวว่าบางทีคนพวกนั้นอาจจะชอบผมแค่เพราะ

 

“ กล้ามฟิตๆกับหน้าหล่อโลกตะลึงนี่? ” โทนี่ทำให้เขารู้สึกตลกขึ้นมาตลอด  ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันได้ดีขนาดนี้

 

สตีฟยักไหล่  “ ประมาณนั้น ”

 

“ อย่างี่เง่าหน่า สตีเฟ่น ” โทนี่ว่าพลางเอนศีรษะซบลงบนลาดไหล่ของอีกคน  “ ต่อให้นายจะหน้าตาน่าเกลียด ตัวเปื้อนขี้ม้าหรือใส่กระโปรงสก็อตต์สีเขียวแปร๋น  ใครก็รักนายอยู่ดี  ก็นายน่ะเป็นคนดีขนาดนี้  ทั้งตลก  ทั้งใจดี แถมยังน่ารักมากๆอีก  ใครจะไม่ชอบล่ะ? ”

 

สตีฟปรายตามองเขา  “ ขอบคุณครับโทนี่ ” ก่อนจะยิ้มกว้าง นั่นทำให้เขาอยากจูบอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน

 

เนิ่นนานทีเดียวก่อนที่โทนี่จะตัดสินใจ..

 

            ทันใดนั้นเองที่ประตูพลันเปิดออกอย่างแรง  พร้อมด้วยคุณพ่อโจ โรเจอรส์ตะโกนขึ้นมาว่า  “ กินข้าว! ” ทำให้โทนี่เกือบหล่นจากโซฟา  หลังจากนั้นทั้งตระกูลโรเจอรส์ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะซึ่งเรียงรายด้วยอาหารจีน  และต่อให้มีเสียงร้องห้ามจากสตีฟว่า “ พ่อ! นี่มันคืนดูหนังนะ! ”  หากแต่โทนี่ยอมรับเลยว่าเขาขำไม่หยุดกับเรื่องตลกน่าอายในอดีตที่ฝ่ายพี่สาวของสตีฟนั้นขุดมาเล่าให้ฟัง

            นั่งมองสตีฟที่หน้าแดงเรื่อ และนึกสงสัยว่าเลือดลมจะสูบฉีดไปถึงส่วนล่างของร่างกายบ้างรึเปล่า

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

            และแล้วงานเลี้ยงปีใหม่ของเปปเปอร์ งานเลี้ยงที่ถ้าหากโทนี่ไม่มาร่วมล่ะก็เธอจะทำลายชีวิตเขาแน่ นั่นก็เวียนมาอีกครั้ง มันดำเนินไปอย่างเป็นปกติ  โทนี่ไปร่วมงานช้าเพราะเขาต้องวุ่นวายกับธุรกิจของพ่อตลอดวัน  ยังคงอยู่ในชุดสูทด้วยซ้ำ  ทันทีที่เขาเดินทางมาถึง  คลินท์ บาร์ตันก็ยื่นเบียร์มาให้เขา ( “คนที่เจอกันในงานแต่งเพ็กกี้ไงครับ จำผมได้มั้ย?”  “พระเจ้า.. จำได้สิ นายก็ยังไม่ได้สักเหมือนเดิมใช่มั้ยเนี่ย?”  “นั่นแหละครับ” )

 

            ไม่รู้ว่าสตีฟไปอยู่ที่ไหน  หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่  โทนี่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะค้นหาอีกฝ่ายด้วยการมองหารายคนและละซึ่งความพยายาม  เพราะสตีฟรู้ว่าเขาต้องการอย่างนี้  และโทนี่ก็รู้ว่าสตีฟไม่ชอบยามเมื่อเขาปลีกวิเวกไปนั่งที่ลานข้างนอกเพียงลำพังนั่น

 

            เพราะสตีฟรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดโทนี่จึงเกลียดวันปีใหม่นักหนา  ไม่ใช่เพราะจูบอันแสนน้ำเน่า ดอกไม้ไฟ หรือเสียงโห่ร้องที่กึกก้องเกินพอดี  ไม่ใช่เลย.. หากแต่เป็นเพราะเขาเกลียดความโดดเดี่ยวต่างหาก ..เกลียดเสียยิ่งกว่าอะไรดี

 

และเขาก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวกับวันไหนได้เท่าวันปีใหม่อีกแล้ว

 

            ความคิดนั่นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว  มันช่วยไม่ได้ที่ทำให้เขาตัดสินใจทำบางอย่างในทันที  โทนี่ขออนุญาตปลีกตัวจากบทสนทนาที่กำลังพูดคุยกับคลินท์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าพ่อเบียร์  บรูซและนาตาชา  ก้าวตรงไปยังประตูซึ่งเป็นทางออกสู่ลานด้านนอก และพบกับสตีฟนั่งอยู่ตรงนั้น

 

“ ว่าไงหนุ่มติสท์ ” โทนี่เอ่ยทัก ก่อนจะนั่งลงข้างกัน

 

สตีฟยิ้มให้เขา  “ มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ”

 

โทนี่ยักไหล่  “ โอเค ” ก่อนจะเอนศีรษะลงกับไหล่นั่น  แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะห่างออกมาพอสมควร แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงนับถอยหลังพร้อมกับเสียงตะโกนร้องอยู่ดี  ให้ตายสิ

 

“ เฮ้ โทนี่ ”

 

เขาเงยหน้าขึ้นมอง  “ ว่าไง? ”

 

เสียงโห่ร้องยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้น  พลุบนฟ้าพลันหายไปจากครรลองสายตา

 

..สตีฟจูบเขา

 

            หากแต่มันไม่เหมือนกับในภาพยนตร์หรอกนะ  เนื่องด้วยองศางกๆเงิ่นๆและโทนี่เองก็เผลอกัดริมฝีปากสตีฟเข้ามุมหนึ่ง  เขาเกือบหล่นร่วงจากที่นั่งและกางเกงหนังสุดเซ็กซี่ของสตีฟนั่นก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตลอด  นี่มันใช่เวลามั้ยล่ะ ..โอ้พระเจ้า

 

ฉะนั้น.. มันไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คาดไว้เลยล่ะ

กระนั้นเองมันก็ยังจูบที่ดีที่สุดเท่าที่โทนี่เคยสัมผัสมา

 

“ สวัสดีปีใหม่ครับ โทนี่ ” สตีฟกล่าวหลังจากผละออก

 

“ น..นาย ” โทนี่ละล่ำละลัก  “ นาย เอ่อ.. ฉันว่าฉัน  บางทีนะ เอ่อ.. รักนายเข้าแล้ว? ”

 

สตีฟเลิกคิ้ว  “ นี่คุณจะบอกผมเฉยๆหรือขอผมคบ? ”

 

“ งั้นคบมั้ย..? ”

 

สตีฟกลอกตา ดึงคอปกเสื้อของโทนี่ให้เข้ามาก่อนจะกดจูบอีกครั้งหนึ่ง

นั่นก็ถือเป็นคำตอบแล้วล่ะ

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

[ฟิคแปล] Tell me when you’re gonna let me in (Tony/Steve) I

Title: Tell me when you’re gonna let me in

Pairing: Tony Stark/Steve Rogers

Genre: Alternate Universe, Fluff

Original: Tell me when you’re gonna let me in

Part I

 

ตอนที่โทนี่เข้าไปในร้าน Rogers and Sons  ขณะนั้นยังเป็นเวลาเพียงสี่ทุ่ม  เขาหย่อนกายลงบนเก้าอี้บาร์ทรงสวยก่อนจะสั่งเครื่องดื่ม  ขอแรงที่สุดเลยนะ เร็วๆด้วยล่ะ

 

สตีฟเพียงแต่จับจ้องมาหากัน

 

นายไม่ใช่บาร์เทนเดอร์ที่ดีเลยนะ

 

และยังคงมองมาอยู่เช่นเดิม

 

ก็ได้ โทนี่เอ่ยขึ้น  เอาสตรอว์เบอร์รี่แด๊กเคอรี่ ”

 

เอาร่มเล็กๆวางด้วยมั้ยครับ? ” สตีฟเพิ่งได้เริ่มตระเตรียมอุปกรณ์

 

อื้อ

 

ไม่ได้เจอคุณมาพักใหญ่เลยนะครับ

 

พักใหญ่ของนายน่ะมันสามวัน

 

            สตีฟไม่กล่าวสิ่งใดต่อหลังจากนั้น ก่อนจะผสมเครื่องดื่มตามที่โทนี่ต้องการให้  วางร่มก้านขนาดเล็กลงไป  ช่างใส่ใจอะไรอย่างนี้.. โทนี่นึกสงสัยว่าเขาเคยสั่งเครื่องดื่มอะไรก่อนหน้าที่จะเจอกับสตีฟ โรเจอรส์นั้น  มันคงเทียบกันไม่ได้เลยกับงานประณีตของคนตรงหน้า

 

เราไม่ควรยึดติดกันมากเกินไป โทนี่กล่าว  พวกที่ปรึกษาด้านการแต่งงานพูดเอาไว้น่ะนะ

 

โทนี่หวังจะได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย  ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นสายตาที่จ้องมองอย่างประหลาดเสียแทน  ใช่

 

เขานั่งรอ  หากแต่สตีฟก็ยังคงไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด จนในที่สุดเขาจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเสียเอง คริสต์มาสมัน.. เอ่อ.. คริสต์มาส ก็แบบว่า.. แต่งบ้านกันวิบวับเต็มไปหมดและจาร์วิสก็อบไก่งวงมาเยอะเกินไป โอเค.. คือฉันรู้ว่าเจ้านั่นเป็นเอไออ่ะนะ แต่ฉันคิดว่าควรจะให้เขาหยุดทำอะไรแบบนี้สักที  แล้วพ่อก็ขอตัวในนาทีสุดท้าย บอกว่ามีธุระด่วน คริสต์มาสก็เลยเหมือนวันอื่นๆ ส่วนวันแกะของขวัญน่ะฉันก็มีธุระต้องไปกับพ่อ  แล้วเกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย? พายุเข้า! มีคนทำไก่งวงตกเปื้อนชุดกันด้วย  พอวันที่ 27 นะ เปปเปอร์ก็ชวนฉันไปช่วยจัดปาร์ตี้ปีใหม่อีก  โคตรแย่เลย

 

สตีฟเลิกคิ้ว ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะไม่ชอบอะไรกับคืนปีใหม่ขนาดนั้นนะโทนี่ ”

 

มันไม่ใช่ไม่ชอบน่ะ  ไม่ชอบน่ะมันคือความรู้สึกตอนเห็นคุณลุงขี้เมา หรือไม่ก็ความรู้สึกของหมาเวลาเจอเด็กมือซน  แต่นี่มัน.. เกลียดน่ะ  สตีเฟ่น

 

ทำไมล่ะครับ? ” สตีฟยื่นแก้วมาให้เขา  โทนี่จิบเครื่องดื่มเลิศรสนั่น  พวกเขาเคยคุยกันถึงเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายครา  แต่สตีฟก็ดูเหมือนจะมองมันเป็นเพียงเรื่องขบขันทุกครั้งไป  ผมว่ามันดีจะตาย  วันปีใหม่ ชีวิตใหม่ๆ  จูบในคืนข้ามปี  โรแมนติคชะมัด

 

โทนี่เบ้หน้า

 

จริงๆนะครับ

 

มันโคตรแย่เลยต่างหาก  สตีฟที่รัก

ใบหน้าของสตีฟแดงเรื่อกับชื่อเล่นที่ถูกเรียกนั่น  แม้ว่าทั้งคู่จะรู้จักกันมาเกือบสามปีแล้วก็ตาม

 

นายเคย.. เอ่อ.. ถามตรงๆนะ นายเคยจูบข้ามปีกับใครรึเปล่า? ”

 

สตีฟจ้องเขม็ง  ซึ่งนั่นทำให้โทนี่ชะงัก  สีหน้าสลดลง  อ้าปากพะงาบๆอย่างต้องการที่จะพูดอะไรสักอย่าง เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกนอกใจยังไงไม่รู้  “ เมื่อไหร่ล่ะ? ”

 

สตีฟยิ่งหน้าแดงซ่าน  ทว่าเรียวปากกลับเม้มแน่นเป็นเส้นตรง  โทนี่เริ่มทายตัวเลือก  “ เพ็กกี้เหรอ? นาตาชา? นายคงต้องกล้าหน่อย แต่ฉันจะประทับใจน่าดู  ไม่เหรอ?  พระเจ้า  ไม่ใช่ฮิลด้วย? ”

 

อีกฝ่ายถอนหายใจพรืดยาว  “ ผมไม่เคยทำหรอกโทนี่  แต่มันคงจะดีเนอะว่ามั้ย? ”

 

โทนี่ก็ยิ่งสงสัยกว่าเก่า

 

“ ก็.. แค่คิดว่ามีใครสักคนต้องการจะจูบข้ามปีกับผม”  สตีฟยกมือเท้าบนคาง

 

“ คนนั้นจะต้องโชคดีมากๆเลยล่ะ ” โทนี่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  และดูเหมือนว่าจะหนักแน่นมากไปหน่อย เพราะสีหน้าของสตีฟค่อนข้างตกใจทีเดียว  “ ก็.. ฉันพูดจริงนะสตีฟ ”

 

สตีฟเพียงแต่ยิ้มตอบรับ หากแต่มันกลับแฝงด้วยความขื่นขม  “ ขอบคุณครับโทนี่ ”

 

“ ฟังนะสตีฟ ฉัน.. ” เขาเริ่มประโยค  นึกอยากจะปัดเอาความโศกเศร้าออกจากใบหน้าอีกฝ่ายนั่นเสียเหลือเกิน  “ สตีฟ คือฉัน..

 

“ เฮ้! ขอสั่งเครื่องดื่มหน่อยครับ ”

 

บรรยากาศเมื่อครู่พังทลายลงทันที  สตีฟเร่งตรงไปหาลูกค้าและกล่าวขอโทษ  เพิ่งตระหนักได้ในขณะนั้นเองว่าเขาต้องทำงาน  โทนี่ถลึงตาใส่ผู้มาใหม่ที่มาขัดจังหวะนั่น  เริ่มเมามายและจับจ้องสตีฟด้วยสายตาที่ราวจะขย้ำอีกฝ่ายเสียตรงหน้า  เขากระดกแด๊กเคอรี่รวดเดียวหมดแก้ว

 

แล้วก็ลืมเรื่องร่มจิ๋วนั่นไปเสียสนิท

 

แย่แล้ว.. เห็นทีคงต้องให้สตีฟช่วยล้วงคอ.. ชายหนุ่มหัวเราะกับตัวเอง  ช่างน่าอายเสียจริง

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

โทนี่เจอสตีฟโรเจอรส์เมื่อตอนงานเลี้ยงปีใหม่ของเปปเปอร์.. ‘งานเลี้ยงที่ถ้าหากโทนี่ไม่มาร่วมล่ะก็เธอจะทำลายชีวิตเขาแน่มีป้ายแบนเนอร์พาดอยู่เต็มไปหมด

 

            มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่นั่นเป็นงานปีใหม่ที่โทนี่สามารถดื่มได้โดยไม่ผิดกฎหมายอีกแล้ว (ก็ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะไม่ดื่มหรอกนะ แค่อยากเป็นตัวอย่างที่ดีน่ะ) แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงออกมานั่งที่ลานด้านนอก กระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผ่อนคลายจากเรื่องทุกข์ร้อนขณะที่เพลงรักน้ำเน่ากำลังเล่นวนอยู่  เคล้ากับเสียงหัวเราะร่าของผู้คนที่มาร่วมงาน อีกเพียงห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว  ไม่รู้สิ.. โทนี่เลิกนับถอยหลังตั้งแต่ห้าชั่วโมงที่แล้ว

 

ช่างหัวมันเถอะ..

 

“ ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ? ”

 

โทนี่เงยหน้าขึ้นมอง  นึกสงสัยว่าเด็กน้อยตรงหน้าเขาเป็นเพียงภาพฝันหรือไม่  ฝ่ายนั้นผอมแห้งอย่างกับอะไรดี สูงเพียงห้าฟุต ถือเบียร์กระป๋องไว้ทั้งสองมือ  หมอนั่นยื่นมันให้เขาและยังคงยืนอยู่อย่างนั้น  โทนี่คิดว่าขนตานั่นสวยชะมัด คนตรงหน้าดูมีความเริงร่า 75% ความสับสน 20% และความขลาดกลัวอีก 5% ซึ่งเขาจัดเป็นสถิติใหม่

 

อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่เช่นเดิม  จนโทนี่เริ่มตระหนักได้ว่าเจ้าตัวกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่

 

“ อ้อ เอาสิ นั่งเลย ” โทนี่เขยื้อนกายไปอีกทาง  “ มานั่งตูดเย็นกันข้างนอกในคืนปีใหม่ บนพื้นคอนกรีตแข็งๆกับฉันเนี่ยนะ ”

 

ฝ่ายนั้นมองมาอย่างขบขัน  ถึงกระนั้นก็ยังคงลงมานั่งข้างกันอยู่ดี  “ คุณดูหนาวนะครับ แล้วก็เมาด้วย ”

 

“ จริงๆแล้วอุ่นมากเลยต่างหากล่ะ ” โทนี่พูดจริงๆนะ  อย่างน้อยก็ไม่ดูหนาวเท่าไอ้หนุ่มเซ็กซี่ที่นั่งข้างเขาตรงนี้หรอก  แต่เขาก็ไม่ได้บอกอีกฝ่ายไปหรอกนะว่าเจ้าตัวน่ะเซ็กซี่  เห็นมั้ย.. เขายังมีสติหลงเหลืออยู่นะ  “ แต่ก็เริ่มหนาวบ้างแล้วล่ะ  ฉันมาตั้งแต่ทุ่มนึงแน่ะ ”

 

“ คุณมานั่งที่พื้นคอนกรีตนี่ตั้งแต่ทุ่มนึง? ”

 

“ อ้อ เปล่าๆ ถ้าหมายถึงข้างนอกนี่ฉันเพิ่งออกมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วเอง ”

 

“ ไม่ค่อยชอบเทศกาลเหรอครับ? ” ฝ่ายนั้นส่งยิ้มอันเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจให้  ..ก็ยังน่ารักอยู่ดี  โทนี่นึกอยากจะกดจูบลงบนรูปคิ้วนั่นเหลือเกิน  มันสวยชะมัด

 

แล้วก็ไม่ได้บอกอีกฝ่ายเรื่องคิ้วไปเหมือนกันนะ  เขาโคตรเจ๋งเลยวันนี้

 

“ อือ ไม่ชอบอะ ” โทนี่กล่าวแล้วกระดกเบียร์อึกใหญ่  “ ฉันเกลียดคืนปีใหม่ ”

 

เด็กหนุ่มนั่นขมวดคิ้ว  “ ทำไมล่ะครับ? ”

 

“ มันมีแต่เรื่องบัดซบ  พวกคืนข้ามปีโรแมนติคบ้าบอไรนั่นด้วย ” พ่อหนุ่มคิ้วเซ็กซี่(ที่จริงโทนี่ควรจะถามชื่อ)เฝ้ารอให้เขาอธิบายโดยละเอียด  เขาเริ่มพยายามข่มอารมณ์  “ ก็.. เคยเห็นจากในหนังพวกนั้นมั้ย  คืนปีใหม่ดราม่าบ้าบอ จูบกันท่ามกลางเสียงพลุ แล้วก็.. ดื่มกันจนเมาเป็นหมา มันบัดซบทั้งหมด  มันไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริงหรอก ในชีวิตจริงน่ะ.. ” โทนี่สะอึก

 

“ ในชีวิตจริงน่ะ นายก็ทำได้แค่ดื่มวิสกี้โง่ๆกับพลุข้างบ้านที่อาจจะติดไฟ  หลังจากนั้นจะโดนลากเข้าคุก แล้วถ้าโชคดีหน่อย คุณตำรวจแกก็อาจเอาน้ำมาให้ แต่บางทีก็ไม่หรอกนะ เพราะเขามันไอ้เชี่ยไง ”

 

“ คุณพูดเหมือนเล่าจากเรื่องจริงเลย ”

 

โทนี่จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเครียดขึง  “ อย่าเล่นกับพลุเชียวล่ะพ่อหนุ่มคิ้วสวย ”

 

คนตรงหน้ามองโทนี่ด้วยความสับสนกึ่งขบขัน  “ จริงๆแล้วผมชื่อสตีฟ ”

 

“ หืม? ”

 

สตีฟดูเหมือนจะเฝ้ารอบางสิ่ง  ความคิดของคนเมามายอย่างโทนี่ต้องใช้เวลาประมวลผลพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะรู้ตัว  “ อ้อ ใช่ เฮ้! เอ่อ.. สตีฟ  ฉันโทนี่นะ โทนี่ สตาร์ค ”

 

“ โทนี่ สตาร์ค? โอ้.. เดี๋ยวนะ.. นี่คุณ ” ใบหน้าของสตีฟยับยู่ก่อนจะพูดเพียงว่า  “ ผมเสียใจด้วยเรื่องลุงของคุณ ”

 

โทนี่กะพริบตาปริบๆ  “ อ่า.. ขอบใจ ”

 

“ มันคงแย่มากตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ”

 

“ อ่าฮะ  การพยายามฆ่ามันเป็นเรื่องค่อนข้างน่าสลดใจอยู่แล้ว ”

 

สตีฟก็ยิ่งยู่หน้าลงมากกว่าเดิม  นั่นทำให้โทนี่กลอกตา  “ ฉันไม่เป็นไรหน่าสตีเฟ่น  เรื่องมันผ่านมาแล้ว เขาตายแล้ว ส่วนฉันยังอยู่  เขามันไอ้สารเลว ”

 

“ แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นคนในครอบครัวคุณอยู่ดี ” เด็กหนุ่มชะงัก  “ อีกอย่าง.. ผมไม่ได้ชื่อสตีเฟ่น แค่สตีฟเฉยๆ ”

 

ความเงียบงันเข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว  มันเงียบเสียจนโทนี่เริ่มคิดว่าแบบนี้มันทรมานเกินไป  “ แล้วนายล่ะ? ไม่ชอบงานเทศกาลเหมือนกันเหรอ? ”

 

สตีฟยักไหล่  “ จริงๆผมก็ชอบนะ แต่.. แฟนผมเพิ่งบอกเลิกเมื่อเช้านี้  เพราะว่าไปคบกับเพื่อนซี้ผม ”

 

“ อู้ววว ให้ตายสิ แล้วนี่คบกันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ? ”

 

“ สามปีครับ ”

 

..โอเค  เราควรจะผ่อนคลายบรรยากาศกันได้แล้ว

 

            ทันใดนั้นเอง เสียงโห่ร้องก็พลันดังขึ้น  โทนี่เริ่มหลงลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด  ดอกไม้ไฟสีสวยสว่างวาบทั่วฟ้า  ใครต่อใครต่างพากันตื่นเต้นยินดี ทว่าโทนี่กลับรู้สึก.. เศร้าเหลือเกิน  ความโศกกัดกินอยู่ในอกจนเขาอยากจะร่ำไห้ออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด  โทนี่ไม่เคยคร่ำครวญอีกเลยนับตั้งแต่ตอนที่เขาเสียแม่เมื่ออายุสิบขวบนั่น  และไม่.. ไม่เอาอีกแล้ว  เขาเกลียดวันนี้  เกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

 

            ทว่าในตอนนั้นเขากลับนึกขึ้นได้ว่าตนยังมีบริษัทของตระกูลที่ต้องดูแล เบือนสายตามองยังหนุ่มคิ้วสวยที่ชื่อสตีฟด้านข้าง  ฝ่ายนั้นจ้องมองแสงจ้าระยับบนฟ้านั่นพร้อมด้วยระบายรอยยิ้มบนใบหน้า  โทนี่จึงรู้สึกได้ว่าความเศร้ามองที่มีเริ่มจางหายไป

 

นั่นแหละ.. คือการพบกันครั้งแรกของเขากับสตีฟ โรเจอรส์  (แต่ก็ไม่ได้ตกหลุมรักในตอนนั้นหรอกนะ  มันมาหลังจากนั้นน่ะ)

 

TBC.

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

TALK TO WRITER:

โหยหาเอยูไฮสคูลไม่ก็มหาลัยของคู่นี้ค่ะ แต่นี่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเนอะ ๕๕๕

ฟิคแปลนี้แบ่งเป็นสองพาร์ทนะคะ 😀

 

[Drabble] No need to rush (WonderLois)

Title: No need to rush

Pairing: Diana (Wonder Woman)/Lois Lane

Author: KuNgWoN

 

No need to rush

 

พวกเธอแทบลืมไปแล้วว่าการสัมภาษณ์ได้เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างไร..

 

            จดจำได้เพียงว่ามันสิ้นสุดลงบนลานเตียงนุ่ม  นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างอันเปี่ยมด้วยแรงปรารถนา  ความละเมียดละมุนที่บดเบียดลงมาบนริมฝีปากอย่างลึกซึ้งนุ่มนวล คละเคล้ากับกลิ่นน้ำหอมอ่อนจางที่ยังคงอ้อยอิ่งบนปลายจมูก

            องค์ประกอบทุกสิ่งที่รวมกันเป็นอีกฝ่ายดึงเอาความสนใจจากเธอไปจนหมดสิ้น

 

ภายนอกมืดสลัวจนไม่อาจแยกแยะว่าเป็นเวลาใดได้ด้วยสายตามนุษย์ธรรมดา  กลิ่นไอชื้นอวลละล่องทั่วอณูอากาศ  คล้ายว่าอีกไม่ช้าไม่นานหยาดฝนจะพากันพร่างพรมลงมาอีกระลอก

 

“ คุณไดอาน่า.. ” ร่างเปลือยเปล่านั่นเบียดกายเข้ากับแผ่นหลังของเธอ พร้อมด้วยความนุ่มหยุ่นที่แนบแตะบนลาดไหล่ ..เจอแบบนี้เธอจะไปไหนได้

 

“ ว่าไง ตื่นแล้วเหรอคนสวย? ” หญิงสาวพลิกร่าง หันมองยังอีกคนที่ลุกขึ้นในท่านั่ง  ความงัวเงียปรากฏบนใบหน้านั่นครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นความหวาดวิตกสุดขีดเข้ามาแทนที่

 

“ ตายแล้ว! ” ลออิสรีบกระวีกระวาดลงจากเตียง  ฉวยเอาเสื้อผ้าของตนที่กระจัดกระจายตามพื้นท่ามกลางความเร่งร้อนใจเต็มอก  “ ฉันต้องสายแล้วแน่ๆเลย!

 

“ เฮ้ๆ.. เดี๋ยวก่อนสิ ” ไดอาน่าพยายามร้องห้าม  ทว่าคนที่กำลังรีบดูแทบจะไม่ได้ยินฟังกันเลยสักนิด  “ ลออิส.. เธอกลับมาที่เตียงก่อนเถอะ  ไม่จำเป็นต้องรีบหรอกนะ ”

 

“ ไม่ได้หรอกค่ะ ”

 

ฝ่ายเจ้าหญิงแห่งเผ่าอะเมซอนถอนหายใจให้กับความรั้นนั่น  เธอเหยียดกายลุกขึ้นตาม  คว้าเอาเอวแบบบางนั่นมาไว้ในอ้อมแขนจนอีกคนสะดุ้ง  “ คุณไดอา— !

 

“ ชู่วว์.. วันนี้วันเสาร์นะ เธอไม่ต้องไปทำงานซะหน่อย ”

 

เรียวมือที่กำลังสาละวนจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ทราบวันเวลา  “ ฉ..ฉัน ” ลออิสโล่งใจราวกับได้ยกเอาเรื่องหนักหนาออกไป  แว่วยินเสียงหัวเราะแผ่วจากคนด้านหลัง  “ ฉันขอโทษค่ะ ”

 

“ ยึดติดกับงานมากไปรึเปล่า? หืม? ” ความเอ็นดูแทรกผ่านในน้ำเสียง  ปลายนิ้วละไล้ตามความยาวของกลุ่มผมสีแดงเพลิง ลากผ่านมาจนถึงผิวเนื้อเย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิภายในตัวห้อง  ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วหวิว “ ให้ฉันช่วยทำให้เธอผ่อนคลายนะ ”

 

            เรียวปากหวานนุ่มกดจูบเลาะเล็มตามความคดโค้งของใบหู  ฝ่ายนักข่าวสาวแทบหลอมละลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟหากไม่ได้สองแขนนี่โอบประคองให้มั่นคง  บดเบียดผิวกายแนบชิดจนแทบไม่หลงเหลือพื้นที่ให้สิ่งใดแทรกผ่าน  ใกล้จนได้ยินเสียงหอบสะท้าน.. ใกล้จนได้ยินเสียงกึกก้องของชีพจรในอก

 

ชิ้นส่วนผืนผ้าที่ยังไม่ได้สวมใส่ให้เรียบร้อยดีนั้นถูกปลดจนร่วงหล่น  พร้อมด้วยสองกายที่โถมร่างลงบนลานเตียงอีกครั้งหนึ่ง

 

THE END

_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

 

TALK TO WRITER:

ถือเป็นการเปิดบล็อกลงฟิคใหม่ที่แบบ.. *ปิดหน้าเขิน* ..ไม่เคยแต่งฟิคสาวๆเต็มตัวแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ยิ่งแอบอีโรติคแบบนี้ยิ่งไม่เคยเลย ฮืออออ ใครชิปคู่นี้อีกแนะนำตัวกันได้นะคะ ฟฟฟฟ