Title: Everything is better when I’m with you
Pairing: Alex Summers & Scott Summers
Genre: fluff/angst
Note: 1.) สปอยล์จุดใหญ่พอสมควรเลยนะคะ ถ้ายังไม่ดูหนังก็ยังไม่ต้องอ่านก่อนก็ได้ค่ะ 2.) สุดท้ายใจก็ไม่กล้าพอก้าวข้ามกำแพงศีลธรรมค่ะ มองเป็น sibling relationship ไปนะคะ ;w;
Everything is better when I’m with you
เหตุการณ์ที่วอชิงตันดีซีผ่านพ้นมาได้เกือบเจ็ดปีแล้ว.. การกระทำอันอุกอาจของอีริค เลนเชอรร์นั้นทำให้คนทั้งโลกชิงชังพวกมนุษย์กลายพันธุ์และมองว่าเป็นอันตราย ทว่าเรเวนก็เปลี่ยนมุมมองของคนทั้งโลกไปด้วยเช่นกัน ..เจ็ดปีแล้วที่โลกเริ่มยอมรับการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์มากขึ้น
กระนั้นเองอเล็กซ์ก็ยังคงปิดซ่อนตนเองอยู่ตามเดิม จากประสบการณ์ที่พบเจอทำให้เขารู้ว่าการเปิดเผยตัวตนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ต่อให้คนพวกนั้นจะยอมรับ แต่ก็ยังมีคนบางพวกที่ยังหวังผลประโยชน์และคิดจะทำลายพวกเขาอยู่ดี.. พวกมันทำโดยไม่สนใจหรอกว่าจะโหดร้ายทารุณสักเพียงใด
การทดลองนรกนั่นพรากบรรดาเพื่อนร่วมทีมและคนเคยรู้จักไปตั้งหลายต่อหลายคน.. ความสูญเสียเหล่านั้นตอกตรึงในความทรงจำและย้ำเตือนเขาเสมอว่าจงใช้ชีวิตเสมือนมนุษย์ธรรมดา
เพล้ง!
เสียงของวัตถุบางอย่างที่แตกกระจัดกระจายทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและหลุดจากภวังค์ความคิดทันที รีบรุดไปยังที่มาของเสียงนั่นอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าที่ปรากฏให้เห็นนั้นทำเอาอเล็กซ์ตื่นตระหนกเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“ สก็อตต์! ”
ใบหน้าซีดเซียวหันมาตามเสียงเรียก สองมือค้ำยันกับเคาน์เตอร์ครัวไว้เพื่อให้ร่างที่จวนจะเซล้มนั้นยังคงทรงตัวได้อยู่ “ พ..พี่.. ”
อเล็กซ์ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปประคองผู้เป็นน้องอย่างระแวงระวัง เนื่องด้วยกลัวว่าเจ้าเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นจะบาดผิวเนื้อเข้า “ ค่อยๆเดินนะ ระวังแก้วบาด ”
กว่าจะมาถึงโซฟาก็เรียกได้ว่าแทบจะทุลักทุเลพอสมควร สก็อตต์แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะเขยื้อนขยับเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้อเล็กซ์เป็นกังวล อาการปวดศีรษะอันเป็นปริศนาของคนตรงหน้าเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ฝ่ามือแตะลงบนผิวแก้มเย็นชืด “ เดี๋ยวฉันเอายามาให้นะ ”
สก็อตต์รู้สึกเหมือเส้นประสาทถูกดึงจนเครียดขึง แรงบีบคั้นในหัวชวนให้ทรมานแทบขาดใจ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอและหมุนเคว้ง ครั้งนี้มันรุมเร้าจนถึงขั้นน้ำตาร่วง ความฝืดเฝื่อนชวนพะอืดพะอมเริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกหนจนเขาต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป
“ ไหวมั้ย? หรือว่าจะไปโรงพยาบาล? ”
“ ไม่เป็นไรหรอก ” สก็อตต์ปฏิเสธเสียงแผ่ว กลืนเอายาแก้ปวดและกระดกน้ำอย่างยากลำบาก ครั้นพอผู้เป็นพี่จะเอ่ยปาก เขาก็รีบคัดค้าน “ คงแค่ไมเกรนหน่า เดี๋ยวก็ดีขึ้น ”
มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง.. เป็นๆหายๆ.. จะทั้งกินยาแก้ปวด นอนพัก หรืออาเจียนอาจพอช่วยให้อาการทุเลาลงบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะหายไปเอง ..ครั้งนี้ก็คงเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ
คนที่ร้อนรนกลับกลายเป็นอเล็กซ์ ไม่เข้าใจฝ่ายน้องชายว่าเป็นหนักถึงขนาดนี้ทำไมถึงยังใจเย็นอยู่ได้ ไม่คิดเป็นห่วงตัวเองบ้างเลยหรืออย่างไร ชายหนุ่มคว้าเอาข้อแขนของคนป่วยให้ลุกขึ้นตามมา “ นี่พี่ทำอะไรเนี่ย! ” สก็อตต์โวยวายลั่น อเล็กซ์กำลังจะเถียงกลับ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ชะงักไป
นัยน์ตาสีครามเข้มคู่นั้นเรื่อแดงขึ้นมาครู่หนึ่ง.. สาบานได้ว่าเขาเห็นมันอย่างชัดเจนและไม่ได้คิดไปเอง
ท่ามกลางความตกตะลึง เรียวมือจึงค่อยๆปล่อยจากลำแขน คนอายุน้อยกว่าลงไปนอนขดตัวกุมขมับกับเบาะโซฟา “ พ..พี่เป็นบ้าอะไรวะ ” น้ำเสียงนั่นอ่อนระโหยโรยแรง ตอนนั้นเองที่อเล็กซ์มีคำถามและข้อสันนิษฐานหลากหลายในหัว และหนึ่งในนั้นที่ผุดขึ้นมาก็คือ..
สก็อตต์เป็นเหมือนกันกับเขา? เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน?
“ ฉันขอโทษ.. นายนอนพักเถอะ ” คนเป็นพี่ดันศีรษะของอีกฝ่ายให้หนุนลงบนหน้าตัก สก็อตต์ขยับเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่ตนต้องการ อเล็กซ์เลื่อนปลายนิ้วนวดวนหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนถึงขมับ ก่อนจะสางเข้ากับกลุ่มผมนุ่ม
“ เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นไรหรอก.. นายต้องไม่เป็นอะไร ” แม้จะเอ่ยปลอบไปเช่นนั้น หากแต่ตัวเขาเองกลับว้าวุ่นในจิตใจ เป็นไปได้สูงทีเดียวที่น้องชายของเขาจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่พลังยังไม่แสดงออกมาก็เท่านั้น
และถ้าเป็นอย่างนั้น.. อเล็กซ์ก็กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเจอเหมือนอย่างเขา ไม่รู้ว่ายีนกลายพันธุ์นั่นจะแสดงอะไรออกมาบ้าง มันดูยากไปหมดไม่ว่าจะเป็นการควบคุมพลังหรือการใช้ชีวิตปะปนไปกับพวกมนุษย์เหล่านั้น
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มสบมองคนที่หลับพริ้มบนตักด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเหลือแสน
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
วันนี้สก็อตต์รีบกลับมาจากโรงเรียนช้ากว่าปกติ เขาโดนทัณฑ์บนเนื่องด้วยปัญหาทะเลาะวิวาท ยังดีที่พ่อกับแม่ของเขามีธุระต้องออกไปอีกเมืองกินเวลาเป็นสัปดาห์ ส่วนฝ่ายพี่ชายตอนนี้คงจะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ..เขาไม่รู้หรอก รู้เพียงแค่ภายในตัวบ้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงครืนครั่นจากท้องฟ้ามืดครึ้มที่บ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้านั่น
แต่แล้วสก็อตต์ก็พบว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่กลับมาถึงเมื่อได้เห็นรองเท้าคู่คุ้นตาที่วางอยู่บนชั้น ส่วนฝ่ายเจ้าของคู่นั้นเองก็กำลังนอนบนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก บนโต๊ะที่ข้างกันนั้นมีหนังสือพิมพ์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้อยู่ เนื้อหาที่ปรากฏบนหน้ากระดาษทำให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาอ่าน
มันว่าด้วยการระงับมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ให้ร่วมลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หลังจากที่ปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์ทำลายสถิติโลกแปดรายการ..
ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายของเขาสนใจพวกมนุษย์กลายพันธุ์ด้วย
สก็อตต์วางหนังสือพิมพ์กลับยังที่เดิมของมัน เขาคงจะเดินขึ้นไปที่ห้องแล้ว หากไม่ติดว่าเป็นเพราะพี่ชายของเขา.. นัยน์ตาสีครามเข้มมองเสื้อเชิ้ตที่ถูกติดกระดุมทุกเม็ดและผูกเนคไทอย่างเรียบร้อยด้วยความรู้สึกอึดอัดแทนผู้ใส่ ..นอนแบบนั้นเข้าไปได้อย่างไรกัน?
คนอายุน้อยกว่าส่ายศีรษะก่อนจะโน้มตัวลงไปคลายปมเนคไทสีกรมท่าและปลดกระดุมตัวแรกออกให้อย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะได้ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เรียวมือสัมผัสบนแผ่นอกอย่างบังเอิญ สก็อตต์ชะงักไปครู่หนึ่งกับไอร้อนผิดปกติที่แผ่ออกมา
อเล็กซ์ป่วยเหรอ? แต่เมื่อลองอังหน้าผากกับผิวแก้มนั่น มันกลับยังอยู่ในอุณหภูมิปกติ
คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก..
.
.
ความรู้สึกหนักอึ้งที่ทาบทับลงบนร่างทำให้อเล็กซ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา..
ความมืดสลัวรายล้อม อากาศเย็นยะเยือก มีเพียงเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนภายนอกที่กระทบข้างฝาและบานหน้าต่างให้ได้ยิน ทั้งยังไม่อาจล่วงรู้เวลาได้เลย อเล็กซ์เขยื้อนกายเล็กน้อยด้วยความงัวเงีย ก่อนจะรู้สึกถึงแรงยวบจากพื้นที่ข้างกัน เขาจึงกระจ่างว่าความหนักอึ้งที่สัมผัสมาก่อนหน้านี้คือแรงกอดจากใครอีกคน
อเล็กซ์คุ้นชินกับสัมผัสจากอ้อมแขนนี้มากพอที่จะรู้ว่านี่คือสก็อตต์.. ห้วงความคิดพยายามประมวลเหตุการณ์ ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อช่วงเย็นเขากำลังรออีกฝ่ายจนเผลอหลับไปบนโซฟา
โซฟา.. เบาะกำมะหยี่นี่ก็ไม่หนานุ่มพอจะเป็นเตียงได้ นั่นยิ่งยืนยันว่าเขาเผลอหลับไปจริงๆ
ครั้นพอจะขยับลุก แรงกอดรัดนั้นก็เพิ่มมากขึ้น “ นอนต่อเหอะ.. ผมง่วง.. ”
“ ตื่นได้แล้วสก็อตต์ นายกลับมาเมื่อไหร่ทำไมไม่ปลุกฉัน ” อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรโต้ตอบ เพียงแต่เลื่อนศีรษะจากไหล่ลงมาซบซุกบริเวณแผ่นอกเสียแทน เส้นผมนุ่มสีน้ำตาลเข้มเคล้าคลอที่ปลายคาง อเล็กซ์เผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู “ ขึ้นไปนอนที่ห้องกัน ตรงนี้มันหนาว ”
“ ตัวพี่ก็อุ่นพอแล้วนี่ไง ”
ไม่รู้ว่าด้วยอายุที่ห่างกันพอสมควรรึเปล่า เขาจึงได้รู้สึกว่าน้องชายของเขาดูจะยังเป็นเด็กน้อยในสายตาเขาเสมอ
“ สก็อตต์.. ตื่นได้แล้ว ” ผู้เป็นพี่เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม แกล้งเป่าลมหายใจให้รินรดลงบนกลุ่มผมนั่นจนมันกระจายไม่เป็นทรง เลื่อนลงมายังใบหูจนจนสก็อตต์ต้องย่นคอหลบ สร้างความรำคาญให้กับคนที่กำลังจะนิทราหลับอย่างสบายอารมณ์อีกรอบ
“ ก็ได้.. ก็ได้.. ” ผู้เป็นน้องกล่าวทั้งที่ความงัวเงียยังคงเจืออยู่ในน้ำเสียง ก่อนจะลุกขึ้นในท่านั่งแล้วยืดกายบิดขี้เกียจช้าๆ
อเล็กซ์ลุกขึ้นเดินไปกดสวิทช์ไฟ ทั้งตัวห้องสว่างโร่ขึ้นมาโดยพลัน
“ ว่าแต่ทำไมนายกลับมาช้าจังล่ะหืม? ”
“ เอ่อ.. คือ.. ” นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบเลยสักนิด จะให้บอกไปอย่างไรล่ะว่าเขาต้องกลับบ้านช้าเนื่องด้วยโดนทัณฑ์บนจากการทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมชั้น หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้นึกหาข้อแก้ตัว เรียวมือนั่นก็แตะลงบนรอยฟกช้ำที่โหนกแก้มเสียแล้ว …ให้ตายสิ โดนจับได้ซะแล้ว..
“ นี่ไปโดนอะไรมา? ”
คนเพิ่งตื่นที่ยังแสดงความง่วงงุนเมื่อครู่นั้นถึงกับตาสว่าง เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าภายนอกยิ่งสร้างความกดดัน ในเมื่อถึงอย่างไรก็หาข้ออ้างไม่ได้ จึงจำต้องยอมรับสารภาพไปตามตรง สก็อตต์ถอนหายใจพรืดยาวแล้วก้มหน้า “ มีเรื่องมานิดหน่อย ”
อเล็กซ์เพียงแต่มองหน้าเขา ความสงบนิ่งจนเกินไปนั้นทำเอาสก็อตต์รู้สึกใจคอไม่ดีเสียเลย รู้ว่าถึงอย่างไรตัวเองคงไม่พ้นต้องโดนดุเป็นแน่ หากแต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏกลับไม่ใช่เมื่อคนตรงหน้าลุกขึ้นเดินออกไปจากตัวห้องรับแขก
..ครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนจะกลับมายังโซฟาอีกครั้งพร้อมด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำที่ถูกบิดจนหมาด
“ ตัวแสบเอ้ย ”
“ ก็มันหาเรื่องผมก่อน! ” สก็อตต์รีบแย้ง นึกถึงหน้าของไอ้จอมกร่างประจำห้องแล้วอยากกลับไปเอาคืนสักหมัดสองหมัดให้หายแค้น กลายเป็นเขาถูกตอกกลับจากอเล็กซ์ด้วยแรงกดลงบนแผลอย่างจงใจจนเขาร้องลั่น “ โอ๊ย! นั่นมันผ้าชุบน้ำร้อนนะ! ”
“ อยู่นิ่งๆหน่า ประคบไว้จะได้ไม่ช้ำ ”
คราวนี้อเล็กซ์แนบแตะผ้าขนหนูผืนเล็กลงบนร่องรอยฟกช้ำด้วยแรงแผ่วเบาแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน “ นายอย่าทำตัวให้มีปัญหานักสิ ” ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งแตะที่ปลายคาง สำรวจว่ามีแผลส่วนอื่นบนใบหน้าอีกหรือไม่ “ นี่ถ้าวันนึงฉันไม่อยู่ นายก็จะปล่อยแผลนายเอาไว้อย่างนั้นใช่มั้ย ”
“ พี่ทำเหมือนผมเป็นเด็กๆไปได้ ผมดูแลตัวเองได้หน่า ”
ก็ทั้งอาการปวดศีรษะที่ยังคงรุมเร้าฝ่ายนั้นอยู่เป็นบางครั้ง ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจแน่ใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังที่ยังไม่ปรากฏให้เห็นนั่นด้วยรึเปล่า.. จะไม่ให้เขานึกวุ่นวายใจได้อย่างไร
“ ไม่ใช่ซะหน่อย.. ”
“ พี่พูดเหมือนตอนถูกเกณฑ์ไปเวียดนามด้วย จะมีสงครามที่ไหนอีกรึไง? ”
ตอนนี้มันไม่ได้มีเพียงสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ผู้คนบางส่วนยังคงไม่เชื่อใจในมนุษย์กลายพันธุ์ ความบาดหมางขัดแย้งอาจเกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้หรอก ..เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ต้องไปร่วมช่วยอยู่ดี
“ เปล่าหรอก ”
และสก็อตต์ก็จะกลายเป็นคนที่เขานึกเป็นห่วงมากที่สุด
“ พี่พูดยังกะจะหายไปตอนนี้เลย ” คนอายุน้อยกว่าเอื้อมมือขึ้นวางทาบทับลงกับเรียวมือที่ประคองใบหน้าไว้ก่อนจะแย้มยิ้มบาง “ อยู่ด้วยกันก่อนสิ ”
ความอุ่นชื้นที่แผ่กระจายบนผิวแก้มนี่ชวนให้เคลิ้มหลับยิ่งนัก
เสียงหยาดฝนที่พร่างพรมอยู่ด้านนอกนั่นก็เช่นกัน..
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ต่อให้สก็อตต์จะดูเป็นน้องชายจอมรั้นก็ตาม อเล็กซ์ก็ยังเป็นคนเดียวที่เขายอมเชื่อฟังเสมอ..
ครอบครัวซัมเมอรส์รีบรุดไปยังโรงเรียนแทบจะทันทีที่ได้รับแจ้งมาว่าสก็อตต์มีส่วนทำให้พื้นที่ของโรงเรียนชำรุดเสียหาย มันเหมือนภาพในอดีตที่ย้อนวนกลับมาฉายซ้ำ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับอเล็กซ์มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ก่อความเสียหายเอาไว้เยอะกว่านี้มาก
อีกทั้งในตอนนั้นโลกยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์เสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกหรอกที่จะทำให้อเล็กซ์เจอข้อหาร้ายแรงแบบนั้น
สก็อตต์นั่งซุกตัวบนพื้นกระเบื้องในที่เกิดเหตุ ความแสบเคืองจากนัยน์ตาเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว กระนั้นเองเขาก็ยังคงไม่อาจหาญจะเปิดเปลือกตาขึ้น หวาดกลัวว่าพลังที่เพิ่งค้นพบของตนเองจะทำร้ายใครเข้าอีก เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ? เป็นเหมือนอีริค เลนเชอร์? เหมือนกับผู้หญิงผิวฟ้าคนนั้น? เหมือนกับปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์?..
..เหมือนกับใครอีกหลายๆคนในโรงเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ.. เพียงคิดถึงตรงนี้ทั้งร่างก็พลันสั่นเทา
แต่ใครเล่าจะปฏิเสธสิ่งที่ตนเองเป็นได้? จำต้องยอมรับมันอยู่ดี
มีเพียงความเงียบงันตลอดทางกลับบ้าน ผ้าผืนหนึ่งถูกพันรอบดวงตาทั้งคู่เอาไว้ ความตื่นตระหนกที่ยังคงอยู่ทำให้สก็อตต์ปฏิเสธที่จะสื่อสารกับใครก็ตาม รีบขังตนเองในห้องนอนทันทีที่ถึงบ้าน ตอนนี้เขาอยากอยู่ตามลำพัง ไม่ต้องการใครทั้งนั้น
เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดยาวแล้วแนบใบหน้าลงกับผ้านวมนุ่ม ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหลังจากเกิดเรื่องนี้ มันจะควบคุมได้รึเปล่า? แล้วถ้าไม่ได้เขาก็ต้องใช้ชีวิตเสมือนคนตาบอดเพื่อความปลอดภัยของใครต่อใครอย่างนั้นหรือ?
ความคิดกระจัดกระจายเริ่มก่อตัวเป็นความหวาดวิตก
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงคลิกพร้อมกับกลอนประตูที่ถูกปลดออก
สก็อตต์หันขวับยังต้นเสียงนั้นด้วยทีท่ากระฟัดกระเฟียด หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้โวยวายอะไรออกไป แรงกอดรัดก็พลันโถมลงบนร่าง เสียงกระซิบแผ่วปลอบโยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ ฉันรู้มันน่ากลัว สก็อตต์.. แต่มันไม่มีอะไร มันไม่เป็นไรจริงๆ เชื่อฉันสิ ”
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่อ้อมแขนนั้นยังคงตระกองกอดกันไว้
รู้เพียงแค่ว่าทุกอย่างมันจะต้องไม่เลวร้ายตามอย่างที่ผู้เป็นพี่พร่ำบอก
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ความรื่นเริงเมื่อครู่จางหายลงฉับพลัน เด็กหนุ่มแทบจะกระทืบเบรคแล้วกระโดดลงจากตัวรถในทันทีที่มันจอดถึง พื้นที่เบื้องหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หลังใหญ่กลับหลงเหลือเพียงเศษซากหักพัง กลุ่มนักเรียนมนุษย์กลายพันธุ์จ้องมองพวกเขาทั้งสี่เป็นสายตาเดียว
..ดูเหมือนจะไม่มีใครได้รับอันตรายจนถึงขั้นสาหัส
สก็อตต์เหลียวมองหาคนที่เขานึกกังวลถึงมากที่สุด กลับกลายเป็นคนเดียวที่ไม่ปรากฏตัวตรงนี้
“ เกิดอะไรขึ้น?! อเล็กซ์อยู่ไหน? พี่ชายฉันอยู่ไหน? ”
“ เอ่อ.. ฉันมั่นใจว่าฉันพาทุกคนออกมาหมดแล้วนะ ” เจ้าของกลุ่มผมสีเงินกล่าวกับเขา ..สก็อตต์จำชายคนนี้ได้ คนตรงหน้าคือปีเตอร์ แม็กซิมอฟฟ์นี่เอง ทำให้เขาไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนจึงรอดพ้นจากแรงระเบิดนั่น
“ อเล็กซ์อยู่ใกล้จุดระเบิดมากที่สุด ”
สรรพเสียงรอบกายเหมือนจะอื้ออึงไปในวินาทีนั้น ฝ่ามือเยียบเย็นขึ้นฉับพลัน สก็อตต์เร่งฝีเท้าผ่านกองซากระเกะระกะไปยังตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะได้รับความเสียหายมากที่สุด อย่างน้อยอเล็กซ์ก็คงอาจจะบาดเจ็บอยู่ตรงนั้น หากแต่สิ่งที่เขาพบเจอมีเพียงเถ้าถ่านและความว่างเปล่า
ทุกคนรอด ..ยกเว้นพี่ชายของเขา
เขากลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว ทรุดกายลงตรงนั้นก่อนจะสะอื้นไห้จนตัวโยน ถ้าหากเขาได้อยู่ที่นี่ในเวลาที่เกิดเรื่อง.. ถ้าหากเขาไม่เป็นคนเริ่มคิดแผนแอบหนีเที่ยว.. ถ้าหากเขากลับมาให้เร็วกว่านี้.. ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงไม่ต้องสูญเสียอเล็กซ์ไปแบบนี้
ราวกับมีใครมากรีดเถือหัวใจ ความรวดร้าวสาหัสเกินจะพรรณนา
ไม่มีแม้คำบอกลา.. ไม่มีแม้ชิ้นส่วนหรือเศษซากของเรือนกายให้ได้เห็น
หลงเหลือเพียงเถ้าถ่านที่เริ่มมอดดับจากกองเพลิง
.
.
เวลาดำเนินไปข้างหน้า หากแต่สก็อตต์กลับยังคงคุมขังตนเองไว้ในอดีต..
ส่วนความเจ็บปวดเหล่านั้นก้าวเคลื่อนเป็นวงกลม นับตั้งแต่วันที่พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาจากไป ความเศร้าโศกก็ซึมพรายในใจและเกี่ยวพันรัดแน่นจนแม้ผ่านพ้นวันเวลาเท่าไหร่ก็ไม่อาจคลายคืน เขาไม่เคยหนีจากมันไปได้ เพียงแค่นึกถึงก็พบว่าตนเองวนกลับมายังจุดเริ่มต้นอันชวนให้รู้สึกร้าวยอกในอกอีกครั้งหนึ่ง..
สภาพจิตใจอันบอบช้ำเกินจะกล่าวส่งผลต่อการควบคุมพลังกลายพันธุ์ เขาไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับใครต่อใครได้เลยหากปราศจากแว่นที่กักเก็บพลังงานนี้ไว้ หรือถ้าหากถอดมันออก เขาก็ควบคุมพลังได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ความพยายามในแต่ละครั้งมันช่างยากเย็นเหมือนดั่งนกปีกหักที่ฝืนบิน
ชายหนุ่มเอนกายพิงกับไม้ใหญ่ กำมือแน่นจนสั่น น้ำตาที่หลงลืมไปแล้วเอ่อคลอขึ้นมา ทั้งแววตาและอ้อมกอดอันเคยคุ้นของใครอีกคนจากช่วงเวลาที่เติบโตก้าวผ่านความทุกข์ความสุขมาด้วยกันฉายชัดในห้วงความทรงจำ ความคะนึงหาท่วมท้นพรั่งพรู
ใบหน้าคร้ามคมแหงนมองแผ่นฟ้าเวิ้งว้าง สีฟ้ากระจ่างอย่างที่มันควรจะเป็นกลับถูกฉาบเคลือบด้วยสีแดงหม่นของเลนส์แว่น
โลกของเขาไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลยตลอดมา..
THE END
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
TALK TO WRITER:
รู้สึกเหมือนได้เคาะสนิมยกใหญ่(แล้วก็เคาะด้วยความทุลักทุเลด้วยย ฮา) ถ้าไม่นับฟิคแปลก็ไม่ได้เขียนช็อตฟิคที่เกินสามพันคำมาค่อนข้างนานเลยค่ะ การเขียนอาจดูไม่สมูธไปหน่อย แฮะๆ
ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ :3